วันนี้ (21 พฤศจิกายน) ไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยถึงสถานการณ์อุทกภัยในปี 2568 ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นระยะเวลานานกว่าปกติ ว่า ปีนี้ประเทศไทยเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนัก โดยได้รับอิทธิพลจากพายุถึง 7 ลูก ตลอดฤดูกาล
ไพฑูรย์ กล่าวว่า แม้ในช่วงต้นปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางแผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า โดยปรับลดเป้าหมายการกักเก็บน้ำในเขื่อนใหญ่จากเดิม 100% เหลือ 80% เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างรองรับน้ำฝน แต่ตลอดฤดูฝนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากพายุถึง 6 ลูก ได้แก่ พายุวิภา, คาจิกิ, หนองฟ้า, ตาปะฮ์, รากาซา และบัวลอย ส่งผลให้มีปริมาณฝนตกสะสมจำนวนมากและน้ำไหลเข้าเขื่อนอย่างต่อเนื่อง การระบายน้ำจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ซ้ำเติมพื้นที่ท้ายเขื่อนที่ระดับน้ำสูงอยู่แล้ว
รองเลขาธิการ สทนช. ระบุว่า ปกติช่วงปลายเดือนตุลาคมระดับน้ำควรจะเริ่มลดลง แต่ปีนี้กลับเกิดปรากฏการณ์ ฝนตกหนักเดือนพฤศจิกายนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากในช่วงวันที่ 31 ตุลาคม – 9 พฤศจิกายน พายุโซนร้อนคัลแมกี ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง ซ้ำเติมในช่วงสิ้นสุดฤดูฝน ทำให้ปริมาณน้ำเหนือเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้กรมชลประทานจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาขึ้นไปสูงสุดที่ 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์วิกฤต (2,730 ลบ.ม./วินาที) ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหลากในพื้นที่ลุ่มต่ำจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา
ไพฑูรย์ ยืนยันว่า ขณะนี้ได้เริ่มปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล และทยอยลดการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาลงตามลำดับแล้ว โดยเขื่อนหลักอื่นๆ เช่น เขื่อนสิริกิติ์ และป่าสักชลสิทธิ์ ยังคงรักษาระดับการระบายน้ำให้คงที่เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ตอนล่าง พร้อมทั้งระดมกำลังเจ้าหน้าที่เข้าเร่งระบายน้ำและฟื้นฟูเยียวยาประชาชนให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
