×

ส่องกล้องมองปี 2026 เศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และตลาดหุ้นโลก

21.11.2025
  • LOADING...
ส่องกล้องมอง ปี 2026 เศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และตลาดหุ้นโลก

มุมมองการลงทุนด้วยการวิเคราะห์ภาพใหญ่ (Top-down Approach) ในปี 2026 ปัจจัยแวดล้อมยังคงเอื้อต่อการลงทุนในตลาดหุ้นโลก เนื่องจากประเด็นความไม่แน่นอนที่สำคัญ คือ สงครามการค้าไม่ได้เกิดกรณีเลวร้ายสุด (Worst-case Scenario) ตามที่เคยมีความกังวลก่อนหน้านี้ เพราะประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่สามารถเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้า (Tariffs) ลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศไว้เมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย. 2025 ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกในปี 2026 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ค่อนข้างดีในระดับประมาณ 3% ต่อเนื่องจากปี 2025

 

ด้านนโยบายการเงิน ธนาคารกลางหลักส่วนใหญ่ของโลกยังคงใช้นโยบายการเงินที่ค่อนข้างผ่อนคลาย นั่นคือ มีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงต่อ หรือหากบางประเทศไม่ได้ปรับลงก็คาดว่ายังคงดอกเบี้ยต่อไป ไม่ได้รีบเร่งที่จะปรับขึ้นในภาวะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อไม่ได้สูงมากนัก ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าตามทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)

 

เริ่มต้นจากภาพใหญ่ คือ เศรษฐกิจมหภาค เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวในระดับใกล้เคียงเดิมได้ต่อเนื่องในปีหน้า สะท้อนจากประมาณการเศรษฐกิจล่าสุดของ IMF เมื่อเดือน ต.ค. 2025 ที่คาดว่า GDP ของโลก จะเติบโตราว 3.1% ในปี 2026 ชะลอลงเล็กน้อยจาก +3.2% ในปี 2025 โดยหลักมาจากการเติบโตที่ชะลอลงของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market and Developing Economies) โดยเฉพาะประเทศจีนและอินเดีย ขณะที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Advanced Economies) อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างทรงตัวในปี 2026

 

ด้านความเสี่ยงขาลง (Downside Risks) ที่ IMF มีการประเมินไว้ เรามองว่ามีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหลักของโลก อย่างสหรัฐฯ หลายข้อ ได้แก่ 1) ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของภาคธุรกิจ 2) อุปทานแรงงานตึงตัว เนื่องจากนโยบายคนเข้าเมือง (Immigration) ที่เข้มงวดมากขึ้น 3) ฐานะการคลังที่อ่อนแอลง ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ 4) ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง และแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง และ 5) ความคาดหวังสูงต่อการลงทุนด้าน AI ที่ทำให้ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงก่อนหน้านี้ ในขณะที่ความเสี่ยงในภาพกว้างที่มีโอกาสกระทบต่อหลายภูมิภาค คือ ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ หรือ ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ เป็นต้น

 

ประเด็นเรื่องการลงทุนด้าน AI ถูกพูดถึงค่อนข้างมากในระยะหลัง บางฝ่ายออกมาตั้งคำถามว่า อุตสาหกรรม AI อยู่ในภาวะฟองสบู่แล้วหรือไม่ แม้แต่ผลสำรวจผู้จัดการกองทุนต่างประเทศทั่วโลก (Global Fund Manager Survey) ที่จัดทำโดย Bank of America เมื่อเดือน ต.ค. 2025 ส่วนใหญ่ประเมินว่า ความเสี่ยงประเภท Tail Risk หรือความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยแต่หากเกิดขึ้นแล้ว ผลกระทบจะรุนแรงมาก คือ ฟองสบู่หุ้น AI

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงเป็นกลุ่มผู้นำหลักในด้านการเติบโตของผลประกอบการ แต่เรามองว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อเนื่องในปีหน้าสำหรับการลงทุนด้าน AI มีหลายแง่มุม เช่น แผนขยายการลงทุน CAPEX ในโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI จะยังคงเดินหน้าตามแผนที่หลายบริษัทประกาศไว้หรือไม่ เพราะมีผลต่อความต้องการใช้ชิป นอกจากนี้ การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) จากการใช้งาน AI จะทำให้เกิดการประยุกต์ใช้ (AI Adoption) ในวงกว้างและรวดเร็ว สอดคล้องกับการลงทุนของภาคธุรกิจหรือไม่ การหารายได้จาก AI (AI Monetization) จะกลับมาสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment หรือ ROI) ให้กับผู้พัฒนา Model และผู้ลงทุนในโครงการต่างๆ ได้รวดเร็วเพียงใด เป็นต้น

 

นโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักของโลกส่วนใหญ่แล้วมีแนวโน้มผ่อนคลาย เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ประกาศหยุดดึงสภาพคล่องออกจากระบบ (Quantitative Tightening หรือ QT) ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2025 หลังจากขนาดงบดุลของ Fed ลดลงจากระดับสูงสุดเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ ลงมาเหลือราว 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ ช่วงต้นไตรมาส 4/2025 เราคาดว่า การหยุดดึงสภาพคล่องออกจากระบบจะช่วยลดแรงกดดันต่อสภาพคล่องในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งในปีนี้ ถูกกดดันจากความกังวลต่อฐานะทางการคลังของสหรัฐฯ เนื่องจากการขาดดุลการคลังและภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นในระยะยาวจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่

 

ด้านนโยบายดอกเบี้ยของ Fed คาดว่า จะเห็นการลดดอกเบี้ยต่อในปี 2026 (ตลาดคาดลดดอกเบี้ยประมาณ 1-2 ครั้งในปี 2026) เนื่องจากตลาดแรงงานมีแนวโน้มอ่อนแอลงและเงินเฟ้อไม่น่าจะปรับขึ้นแรงและนานมากนัก นอกจากนี้ ในระยะยาว Fed ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ควรอยู่ที่ระดับประมาณ 3.00% เพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในระยะยาวที่ประมาณ 1.80 – 2.00% ในขณะที่ระดับดอกเบี้ยนโยบาย ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 3.75 – 4.00% (ณ สิ้นเดือน ต.ค. 2025) ถือว่ายังสูงกว่าคาดการณ์ดอกเบี้ยระยะยาวอยู่พอสมควร

 

อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าความท้าทายหลักในปีหน้า คือ ราคาสินทรัพย์หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้นต่างประเทศ หรือทองคำ ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากในปี 2025 ส่งผลให้ Valuation ตึงตัวมากขึ้น สะท้อนจาก Forward P/E Ratio ของตลาดหุ้นหลายแห่งขึ้นมาเหนือระดับค่าเฉลี่ยระยะยาว ตัวอย่าง ดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI ACWI) ซื้อขายด้วย 12-month Forward P/E Ratio ประมาณ 19.1x เทียบเท่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี+1.5SD หรือดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ที่เทรดบน Forward P/E Ratio ประมาณ 22.4x เทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี+1.6SD (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 7 พ.ย. 2025)

 

ทั้งนี้ ตามหลักการโดยทั่วไปแล้ว P/E Band ที่ระดับ +2SD จากค่าเฉลี่ยระยะยาว สะท้อนถึง Valuation ที่อยู่ในระดับแพงมาก ในทางกลับกัน P/E Band -2SD ถือว่าอยู่ในระดับที่ถูกมากเมื่อเทียบกับอดีต

 

เมื่อ Valuation ของตลาดหุ้นหลายแห่ง ตึงตัวมากขึ้นทำให้ผลตอบแทนคาดหวังในระยะข้างหน้า อาจไม่ได้เปิดกว้างเท่ากับในช่วงก่อนหน้านี้ ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนควรมุ่งเน้นไปที่การคัดเลือกหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง กำไรเติบโตอย่างมั่นคง Valuation เหมาะสมกับการเติบโต กระแสเงินสดแข็งแกร่ง และอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่นๆ ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลง เช่น ตราสารหนี้คุณภาพ และ REITs เป็นต้น

 

ในมุมหนึ่ง ความผันผวนที่สูงขึ้นถูกมองเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจต้องเผชิญ ซึ่งเราเชื่อว่าการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ได้ แต่บางครั้งความผันผวนที่เกิดขึ้นก็อาจหมายถึง โอกาสของการลงทุนได้เช่นกัน หากปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ราคาปรับตัวลดลง ก็ทำให้ Upside เปิดกว้างมากขึ้น

 

ภาพ: Pavel Muravev/Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising