สิงห์ เอสเตท ประกาศกลยุทธ์ธุรกิจในปี 2569 เดินหน้าสร้างฐานกำไรที่มีคุณภาพในปี 2569 แม้จะประเมินว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกและในประเทศยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย
ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในปี 2569 โดยยอมรับว่า ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง สภาวะเศรษฐกิจ หรือสงครามการค้า แต่บริษัทมองว่าสิ่งที่ส่งผลกระทบมากที่สุดคือ ‘โมเมนตัมหรืออารมณ์ความรู้สึกของผู้คน’ ที่หากขาดความเชื่อมั่น การใช้จ่ายในการลงทุนและการท่องเที่ยวก็จะลดลง
เป้าหมายปี 69 รายได้ทรงตัว แต่ ‘กำไร’ ต้องดีขึ้น
สำหรับแผนกลยุทธ์ธุรกิจธุรกิจในปี 2569 นั้น บริษัทไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเติบโตของรายได้เป็นหลัก โดยคาดว่ารายได้รวมทั้งปีอาจไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากปี 2568 ที่คาดการณ์ไว้ที่ 15,000 ล้านบาท
“เป้าหมายหลักในปี 2569 คือการสร้างฐานกำไรที่มั่นคงและมีคุณภาพ ซึ่งกำไรปีหน้าจะดีขึ้นจากปีนี้อย่างแน่นอน” ชัยรัตน์กล่าว

ภาพ : ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สิงห์ เอสเตท แถลงแผนกลยุทธ์ธุรกิจกับสื่อมวลชน
โดยกลยุทธ์สำคัญคือการรักษาอัตรากำไรโดยรวม เน้นให้มาจาก 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่
- กลุ่มธุรกิจโรงแรม
- สำนักงานให้เช่า
- กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย
- กลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม, โรงไฟฟ้า
ปัจจุบัน S มีโครงสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งและสมดุล โดยมีธุรกิจที่สร้าง รายได้ประจำ (Recurring Income) ซึ่งมาจากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงาน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงประมาณ 80% ของรายได้รวม และมีธุรกิจที่สร้าง รายได้ไม่ประจำ (Non-Recurring Income) ซึ่งมาจากธุรกิจที่พักอาศัยและนิคมอุตสาหกรรม คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ซึ่งในปี 2569 มีแผนที่จะปรับสัดส่วนรายได้จากกลุ่ม Recurring Income เป็น 70% และอีก 30% มาจากกลุ่ม Non-Recurring Income ของรายได้รวม
ชัยรัตน์ ระบุต่อว่า การบริหารความสมดุลของรายได้ทั้งสองประเภทนี้ถือเป็นภารกิจสำคัญอันดับแรก โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญความท้าทายในปัจจุบัน เนื่องจากรายได้ประจำจะช่วยสร้างฐานกำไรที่มั่นคงและเป็นกันชนในการขับเคลื่อนธุรกิจอื่น


ภาพ : BUSINESS PORTFOLIO และโครงสร้างรายได้ของ สิงห์ เอสเตท
ธุรกิจโรงแรม ตัวขับเคลื่อนกำไรหลัก เน้นลูกค้า High Spending
กลุ่มธุรกิจโรงแรม ซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงถึง 70% ของรายได้รวม ถือเป็นส่วนหลักที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง และจะเป็น ‘ตัวขับเคลื่อนกำไรหลัก’ ในปี 2569 โดยมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากการเปิด Capacity เพิ่ม 4 โรงแรมในสหราชอาณาจักร (UK) และโอกาสการเติบโตของโรงแรมในภูเก็ต
กลยุทธ์สำคัญคือการเปลี่ยนเกณฑ์จาก ‘ปริมาณนักท่องเที่ยว’ เป็น ‘เกณฑ์คุณภาพ’ โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง (High Spending) จากยุโรป,อเมริกา และตะวันออกกลาง เพื่อผลักดันให้รายได้ต่อหัว (Spending) ดีขึ้นกว่าปีปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็จะกลับมาโฟกัสที่ตลาดเอเชียแปซิฟิกและประเทศไทยในทำเลที่บริษัทรู้จักมากขึ้น
อาคารสำนักงาน S-OASIS ตั้งเป้า Occupancy 70%
ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าเป็นอีกขาหลักที่สร้างกำไรแบบมั่นคง โดยเฉพาะอาคารสำนักงาน โอเอซิส (S-OASIS) ที่เริ่มเปิดให้บริการในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่า (Occupancy Rate) อยู่ที่ประมาณ 50% บริษัทได้ตั้งเป้าหมายในปี 2569 ไว้ที่ Occupancy Rate ประมาณ 70%
กลยุทธ์ที่พักอาศัย เน้นผนึกกำลังพันธมิตร ลดความเสี่ยงตลาดลักชัวรี
สำหรับธุรกิจที่พักอาศัย ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% ของรายได้รวม บริษัทใช้กลยุทธ์หลักคือ ความยืดหยุ่นและการเติบโตแบบมีพันธมิตร (JV) เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน และยังคงมองหา JV กับคนไทยเป็นหลัก
- ตัวอย่างความสำเร็จ โครงการคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำ “ONE RIVER พระราม 3” ที่พัฒนาขึ้นโดยการจับมือกับ “วัน เรียลเอสเตท” มียอดขายกว่าร้อยละ 90 ทั้งที่เปิดตัวในช่วงต้นปีที่เป็นปีที่ท้าทาย สะท้อนว่าการมีพันธมิตรและการมองหาโอกาสในตลาดลักชัวรีเป็นกุญแจสำคัญ
- สถานการณ์ตลาด ตลาดลักชัวรีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนได้หายไป โดยลูกค้าหลักที่เหลือคือกลุ่มที่ซื้อเพื่อเข้าอยู่จริง เนื่องจากลูกค้ากลุ่มลักชัวรีมี ‘ความรู้สึกทางอารมณ์ (Emotion) ที่ไม่มั่นคงมากขึ้น’ ทำให้การตัดสินใจซื้อเพื่อลงทุนชะลอตัว
โครงสร้างพื้นฐาน นิคมฯ-โรงไฟฟ้า สร้างรายได้ประจำเสริม
- นิคมอุตสาหกรรมอ่างทอง ได้ขายพื้นที่ไปแล้วประมาณ 20% หรือ 200 ไร่ จากพื้นที่ขายทั้งหมด 1,000 ไร่ โดยบริษัทเชื่อว่าช่วง 0-20% แรกจะยากที่สุด และตั้งเป้าหมายต่อไปที่ 40%
- โรงไฟฟ้า การถือหุ้น 30% ในโรงไฟฟ้า 3 แห่งของ B Grimm Power สร้างกำไรให้บริษัทประมาณ 150 ล้านบาทต่อปี
แผนลงทุนและการเงิน บริหารหนี้สินอย่างรอบคอบ
- งบลงทุน (Capex) ปี 2569 วางไว้รวมประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยเฉลี่ยไปในธุรกิจบ้านและโรงแรม ซึ่งยังไม่รวมการทำ M&A หรือการซื้อที่ดินใหม่ที่สนใจ
- หนี้สินปัจจุบันมีหนี้สินรวมกว่า 30,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วน D/E Ratio อยู่ที่ประมาณ 1.5 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าข้อกำหนด (Covenant) ของธนาคารที่กำหนดไว้ไม่เกิน 2 เท่า
- การระดมทุน มีแผนจะออกหุ้นกู้ปีละประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายปรับสัดส่วนแหล่งเงินกู้ในอนาคตเป็น 70% เงินกู้ธนาคาร และ 30% หุ้นกู้ จากปัจจุบันที่ 80% และ 20% ตามลำดับ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ชุดใหม่ในปี 2569 จะต่ำลงตามสภาวะตลาด

ภาพ : โครงสร้างแหล่งเงินกู้ของ สิงห์ เอสเตท
กระจายความเสี่ยงทางการเงินกู้เงินจากแบงก์ 10 แห่ง
โดยช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทมีความสามารถในการระดมทุนทั้งจากเงินกู้ธนาคารและการออกจำหน่ายหุ้นกู้ รวมกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีสัดส่วนเงินกู้ต่อหุ้นกู้ที่อัตรา 80:20 จุดเด่นที่ทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากทั้งธนาคารและนักลงทุนในหุ้นกู้ คือระเบียบวินัยทางการเงิน และการบริหารความสัมพันธ์ที่หลากหลายกับผู้ให้เงินทุน ในด้านเงินกู้ธนาคาร บริษัทมีเครือข่ายสถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนมากกว่า 10 แห่ง จากความเชื่อมั่นในศักยภาพของกลุ่มบริษัท ความเชื่อมั่นในโครงการที่พัฒนา และความสามารถในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งบริษัทได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว แม้ในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด เช่น ช่วงวิกฤตโควิด-19
เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นกู้ แม้บริษัทจะเริ่มจัดจำหน่ายหุ้นกู้ได้เพียง 4 ปี แต่ก็สามารถระดมเงินทุนจากตลาดได้แล้วกว่า 10,000 ล้านบาท เป็นผลจากความไว้วางใจที่ผู้ลงทุนมีต่อบริษัท บริษัทมุ่งเน้นการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในแต่ละปีอย่างมีแบบแผน โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ
- จำนวนเงินที่ออกจำหน่ายต้องมีความเหมาะสม สร้างความน่าเชื่อถือในการชำระคืน
- อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดมีความเหมาะสมกับความเสี่ยงที่ผู้ถือหน่วยได้รับ และเหมาะสมกับสภาวะตลาด
- การรักษาช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย เพื่อเข้าถึงทั้งลูกค้าธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์
ทั้งนี้ ช่องทางการระดมทุนจากทั้งธนาคารและหุ้นกู้มีความเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน การรักษาสมดุลของการระดมทุนผ่านทั้ง 2 ช่องทางจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยในเบื้องต้นบริษัทวางเป้าหมายสัดส่วนเงินกู้ธนาคารต่อหุ้นกู้ที่ 70:30


