ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในคู่ความสัมพันธ์ที่เปราะบางที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก แม้ปัจจุบัน ทั้งสองประเทศจะเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งในทางเศรษฐกิจ แต่ความทรงจำทางประวัติศาสตร์ ความขัดแย้งทางอธิปไตย และการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ ทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันไม่สูงขึ้นมากนักตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศหวนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เมื่อ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ของญี่ปุ่น ได้ตอบคำถามในที่ประชุมรัฐสภา หลังถูกถามว่า สถานการณ์ใด รอบๆ ไต้หวันที่จะถือเป็นสถานการณ์ที่ ‘คุกคามการอยู่รอด’ ของญี่ปุ่น โดยทาคาอิจิตอบว่า หากมีเรือรบและการใช้กำลัง ก็อาจถือเป็นสถานการณ์ที่คุกคามการอยู่รอดได้ และในสถานการณ์เช่นนี้ ญี่ปุ่นสามารถใช้กองกำลังป้องกันตนเอง เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามได้
สำหรับจีน ประเด็นไต้หวันคือ ‘เส้นแดง’ ที่ไม่อาจถูกละเมิด ทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การตอบโต้ทางการทูตจากปักกิ่ง
โดยมีการประกาศเตือนพลเมืองจีนไม่ให้เดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นแรงกดดันในทางเศรษฐกิจเนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่
ขณะที่หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ตั้งคำถามสำคัญไปยังรัฐบาลญี่ปุ่น 3 ข้อ คือ
1.ผู้นำญี่ปุ่นกำลังพยายามส่งสัญญาณอะไรไปยังกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนการเป็นเอกราชของไต้หวัน
2.ญี่ปุ่นพร้อมที่จะท้าทายผลประโยชน์หลักของจีนและหยุดยั้งการรวมชาติหรือไม่
3.ญี่ปุ่นต้องการนำความสัมพันธ์กับจีนไปในทิศทางใดกันแน่
การกลับมาของ ‘การทูตนักรบหมาป่า’
บรรยากาศความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเพิ่มมากขึ้น จากท่าทีของ เสวี่ย เจี้ยน ( Xue Jian) กงสุลจีนประจำนครโอซาก้า ซึ่งสาดวาทกรรมที่กลายเป็นประเด็น หลังโพสต์ข้อความภาษาญี่ปุ่นบน X ที่มีใจความสำคัญว่า “คอสกปรกที่ยื่นเข้ามาต้องถูกตัดทิ้ง” จนสร้างความไม่พอใจแก่นักการเมืองและประชาชนชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก โดยโฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นประท้วงว่าข้อความของเขา ไม่เหมาะสมอย่างมาก ในฐานะนักการทูตอาวุโส
โดยแม้ว่าภายหลังกงสุลจีนรายนี้จะลบโพสต์ไป แต่ก็ยังมีการโพสต์ข้อความตำหนินักการเมืองญี่ปุ่นอีกครั้ง โดยระบุว่า “จุดยืนของญี่ปุ่นที่มองว่าไต้หวันเป็นภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของตนเอง นั้นเป็นเส้นทางอันตรายที่ถูกเลือกโดยนักการเมืองที่โง่เขลา”
ข้อความของเสวี่ย กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในญี่ปุ่นและในระดับนานาชาติ โดยนักวิเคราะห์หลายคนยังมองว่า คำกล่าวตอบโต้ที่ดุเดือดของกงสุลจีน สะท้อนถึงการกลับมาของ ‘การทูตแบบนักรบหมาป่า (Wolf Warrior Diplomacy)’ ซึ่งเป็นคำเปรียบเปรยต่อแนวทางการทูตแบบตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์จีนจากชาติตะวันตก ที่เคยถูกนำมาใช้ในยุคที่หวัง เหวินปิน ดำรงตำแหน่งโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนที่จะลดลงช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาหลังจากจีนพยายามกลับมาเปิดความสัมพันธ์กับหลายชาติตะวันตกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ และผู้ช่วยคณบดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า “การทูตแบบนักรบหมาป่าไม่เคยหายไป” โดยมองว่า “ที่ผ่านมา จีนแค่ลดระดับลงตามสถานการณ์ แต่เมื่อจีนรู้สึกว่าถูกท้าทายในเชิงอธิปไตย ก็จะได้เห็นน้ำเสียงของจีนที่แข็งขึ้นทันที”
จีนกังวลรัฐบาลขวาจัดญี่ปุ่น
จากคำพูดของ นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิ ผศ.ดร.พงศ์พิสุทธิ์ มองว่า สิ่งที่รัฐบาลจีนกังวลไม่ได้มาจากเพียงถ้อยคำ แต่ยังรวมถึง บริบททางการเมืองของญี่ปุ่น ที่กำลังขยับไปยังฝ่ายขวา
โดยกังวลต่อท่าทีของนายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ที่สนับสนุนแนวคิดอนุรักษ์นิยม เนื่องจากจีนและญี่ปุ่น มีข้อพิพาทระหว่างกันในหลายด้าน รวมถึงการอ้างสิทธิ์เหนือหมู่เกาะเตียวหยู หรือหมู่เกาะเซ็งกากุ ในทะเลจีนใต้ อีกทั้งจีนยังกังวลว่าญี่ปุ่นซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาค อาจจะมีนโยบายที่สนับสนุนสหรัฐฯ มากขึ้นเพื่อคานอิทธิพลจีน
“ก่อนหน้านี้ตอนช่วงที่ชินโซ อาเบะ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น มันก็มีปัญหาเช่นกัน เพราะอาเบะ ไปสนับสนุนสหรัฐฯ ในนโยบายด้านอินโดแปซิฟิก ดังนั้นสำหรับทาคาอิจิ ที่อาเบะ ฝึกฝนมาเองกับมือ ก็น่าจะทำให้จีนมีความกังวลนับตั้งแต่ที่เธอขึ้นรับตำแหน่ง”
ความขัดแย้งที่ฝังรากลึก
ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นเปราะบาง มาจากความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่เลวร้าย เช่น กรณีการสังหารหมู่ที่หนานจิง ซึ่งประเมินว่ามีชาวจีนถูกทหารกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นสังหารหมู่ไปมากถึง 2-3 แสนคน
ผศ.ดร.พงศ์พิสุทธิ์ชี้ว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้การคลี่คลายความตึงเครียดของทั้งสองประเทศอาจทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะทุกครั้งที่เกิดข้อพิพาท ทั้งสองชาติจะย้อนกลับไปใช้ ‘วาทกรรมเชิงประวัติศาสตร์’ ทันที
“เราจะเห็นได้จากกรณี เช่น ผู้นำญี่ปุ่นไปสักการะดวงวิญญาณของทหารในศาลเจ้ายาสุคุนิ ที่โตเกียว ซึ่งจีนและเกาหลีใต้ ก็มักจะออกมาประท้วง”
“บาดแผลทางประวัติศาสตร์ มันก็เหมือนเป็นตัวบ่อนทำลายรากฐานความสัมพันธ์ที่พยายามสร้างให้ดีในโลกสมัยใหม่ ในยุคที่ญี่ปุ่นกับจีนเป็นรัฐสมัยใหม่แบบใน ปัจจุบัน ก็อาจจะเป็นฉากหลังที่ไม่เคยหายไปไหน”
เศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน
อย่างไรก็ตาม ภาวะตึงเครียดที่เกิดขึ้น มีผลสำคัญต่อทั้งภาวะเศรษฐกิจและสังคม โดยผศ.ดร.พงศ์พิสุทธิ์อธิบายว่า นักลงทุนและนักท่องเที่ยวจีนอาจลังเลในการเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงที่ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก
เขามองว่า สถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้จะคงอยู่ต่อไปอีกสักพัก แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะส่งสัญญาณประนีประนอม เช่นการส่งทูตไปยังจีนเพื่อยับยั้งไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย
ในส่วนความคิดเห็นระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศจากเหตุการณ์นี้ ผศ.ดร.พงศ์พิสุทธิ์ ยกตัวอย่างผลสำรวจความคิดเห็นที่จีนทำร่วมกับญี่ปุ่นเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งพบว่า โดยพื้นฐาน มุมมองของคนญี่ปุ่นที่มีต่อคนจีน และคนจีนที่มีต่อคนญี่ปุ่น นั้นมักจะแย่อยู่แล้ว
ขณะที่กระแสชาตินิยมในจีนและบรรยากาศความตึงเครียดเช่นนี้ น่าจะคงอยู่ไปอีกสักพัก และกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นแน่นอน แต่เขาเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว “กระแสชาตินิยมของจีนน่าจะคลายลงในที่สุด” โดยรัฐบาลจีนน่าจะมีวิธีส่งเสริมและสร้างบรรยากาศการค้าและความร่วมมือให้เกิดขึ้น
ภาพ : Kyodo/via REUTERS
อ้างอิง :


