สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขึ้นกล่าวในหัวข้อ ‘New Frontier of Thai Diplomacy: พรมแดนใหม่การทูตไทย’ บนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ในวันนี้ (6 พฤศจิกายน) โดยระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้สูญเสียสถานะและน้ำหนักในเวทีระหว่างประเทศไป จนทำให้ ‘หายไปจากจอเรดาร์’
พร้อมระบุว่า โลกปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความท้าทายใหม่ๆ ที่ไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือมากมาย เช่น การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geoeconomics) และภูมิเทคโนโลยี (Geotechnology) รวมถึงประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ เช่น โรคระบาด, อาชญากรรมไซเบอร์ และการจัดการภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้นโยบายการต่างประเทศไทยต้อง ‘Beyond Thailand’ คือไม่พูดเพียงแต่เรื่องของตนเอง แต่ต้องช่วยสนับสนุนสันติภาพในภูมิภาคและสันติภาพของโลกด้วย
ยุทธศาสตร์พาไทยกลับสู่เวทีโลก
สีหศักดิ์กล่าวว่า การกลับสู่จอเรดาร์ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน หนึ่งในนั้นคือ ยุทธศาสตร์การเพิ่มน้ำหนัก โดยประเทศไทยต้องทำให้ตนเองมีความสำคัญและมีน้ำหนักมากขึ้นบนเวทีโลก ซึ่งขึ้นอยู่กับบริบทการเมืองที่เข้มแข็งและเศรษฐกิจที่ดีมีคุณภาพ
นอกจากนี้ประเทศไทยต้องใช้ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เป็นจุดแข็งเพื่อเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อ (Connectivity) ในภูมิภาค และเป็นผู้เชื่อมโยงประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งจุดนี้ต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศ และจะเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะทำไทยมีน้ำหนักมากขึ้น มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการมีบทบาทนำในประเด็นเมียนมา และอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ผ่านกลไกทวิภาคี กรอบอาเซียน และกรอบเพื่อนบ้านในภูมิภาค
สีหศักดิ์ยังได้เน้นย้ำถึงยุทธศาสตร์การทูตโปร่งใส โดยการทูตที่เข้มแข็งต้องเริ่มต้นจากภายใน ต้องมีเอกภาพในการทำงานระหว่างหน่วยงาน และต้องเป็นการทูตที่สามารถอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจได้ว่า สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร
ทั้งยังมีการปรับบทบาทกระทรวงการต่างประเทศให้เน้นการทูตเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น รวมถึงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม. เศรษฐกิจ) เพื่อช่วยรัฐบาลทำงานควบคู่ไปกับมิติการทูตและการเมืองระหว่างประเทศ
ประเด็นความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
รัฐมนตรีต่างประเทศระบุว่า ปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องบริหารจัดการ ปัญหานี้มีหลายมิติ ทั้งเรื่องชายแดน เขตแดน ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล และความรู้สึกของประชาชน ซึ่งมิติหลังสุดเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุด พร้อมเชื่อว่า ขณะนี้สถานการณ์กำลังเดินมาถูกทาง เพราะเริ่มมีพื้นที่สำหรับการทูตและการเจรจาจนนำไปสู่การลงนามใน Joint Decoration ระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ โดยมีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน
ส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ MOU นั้น สีหศักดิ์กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศมีภารกิจต้องให้ข้อมูลเรื่อง MOU 2543 และ 2544 กับประชาชนให้มากที่สุด พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของ Plan B ในกรณีที่ถ้าหากไม่มี MOU แล้วจะดำเนินการอย่างไร
รัฐมนตรีต่างประเทศมองว่า MOU 2543 (เรื่องการปักปันเขตแดนทางบก) น่าจะคืบหน้าต่อไปได้หากความสัมพันธ์กลับสู่ภาวะปกติ ส่วน MOU 2544 (เรื่องเขตแดนทางทะเลและเขตพัฒนาร่วม) ยังไม่มีความคืบหน้า และอาจต้องมองหาทางเลือกอื่น
MOU แร่หายาก และการถ่วงดุลอำนาจ
สีหศักดิ์ระบุว่า การลงนาม MOU เรื่องแร่แรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ ทำให้กระทรวงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเร่งรีบหรือเข้าข้างสหรัฐฯ จนอาจเสียดุลกับจีน แต่ท่านมองว่าต้องพิจารณาจากผลประโยชน์ของไทยเป็นหลัก โดย MOU ดังกล่าวเป็นความร่วมมือที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาขีดความสามารถของไทยในเรื่องแร่แรร์เอิร์ธ และเป็นโอกาสให้ไทยเข้าสู่ซัพพลายเชนแร่แรร์เอิร์ธโลก ซึ่งที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องง่าย
รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวว่า MOU นี้อยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบของไทย และไทยเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขความร่วมมือ ที่สำคัญคือ ไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมาย และสามารถยกเลิกฝ่ายเดียวเมื่อไหร่ก็ได้ โดย MOU นี้มีส่วนช่วยให้ไทย กลับสู่จอเรดาร์ของสหรัฐฯ ซึ่งมีความจำเป็นในการถ่วงดุลความสัมพันธ์กับการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยไม่กระทบหรือบั่นทอนความสัมพันธ์ที่มีกับจีนด้วยเช่นกัน
ภาพ: THE STANDARD


