วันนี้ (21 ตุลาคม) ที่ กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ภายหลังการแถลงข่าวยาเสพติด อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการปราบปรามภัยทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะ สแกมเมอร์ และ คอลเซ็นเตอร์ โดยได้ฝากให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ดำเนินการอย่างจริงจัง
พร้อมระบุว่ารัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการมาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ และจะนำกลไกทุกอย่างที่มีอยู่เข้ามาใช้เพื่อไม่ให้สิ่งผิดกฎหมายเหล่านี้ทำลายอนาคตและความมั่นคงของประเทศ
อนุทิน กล่าวยืนยันความมั่นใจในการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยระบุว่าตนและ ผบ.ตร. ได้มีการหารือกันตลอดเวลาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามภัยที่ทำลายความมั่นคงของประเทศในทุกรูปแบบ ทั้งยาเสพติดและภัยทางเทคโนโลยี พร้อมขอให้ประชาชนติดตามผลงาน
สำหรับประเด็นการปราบปรามสแกมเมอร์ นายกรัฐมนตรีระบุว่ามีการดำเนินการมาโดยตลอด ซึ่ง ผบ.ตร. ได้มีการรายงานผลการดำเนินคดีและยึดทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นย้ำว่าการปราบปรามเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ตำรวจเท่านั้น แต่ยังมีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้ามาเกี่ยวข้องในการอายัดทรัพย์และดำเนินคดีด้วย
ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ (ผบ.ตร.) กล่าวเสริมว่า ตำรวจไทยทำงานเรื่องสแกมเมอร์นำหน้ากว่าหลายประเทศ โดยขณะนี้ได้นำนโยบายวัคซีนไซเบอร์ ของนายกรัฐมนตรีมาขยายผลการทำงาน
พร้อมยอมรับว่าแม้จะมีบางประเทศที่ให้ความร่วมมือในการประสานงานและส่งตัวผู้กระทำผิด แต่ก็มีประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศที่ยังไม่ให้ความร่วมมือ ตำรวจมีข้อมูลของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว และได้มีการดำเนินคดีไปแล้วในเดือนมีนาคมและพฤษภาคม โดยขณะนี้คดีอยู่ในชั้นศาล
เมื่อถามถึงข้อมูลผู้เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ระบุว่ามีข้อมูล และกรณีเฉินจื้อ ผบ.ตร. ยืนยันว่าตำรวจทำงานบนพื้นฐานของข้อมูลหลักฐาน แต่บางเรื่องไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ แต่รับรองถึงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องประชาชน
ส่วนประเด็นที่ วรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ อนุทินเปิดเผยว่า วรภัค ได้ติดต่อมาแสดงเจตนารมณ์ที่จะแถลงข่าว และมีการชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวแล้ว โดยตนได้ให้รัฐมนตรีทำหนังสือรายงานกลับมา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความมั่นใจต่อคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างหนักแน่นว่า ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครแล้วรัฐบาลจะพามาทำงาน หากพบว่าใครมีความเชื่อมโยงจะไม่มีข้อยกเว้น โดยย้ำหลักการทำงานว่า “ไม่ดูหรอกว่าชื่อใครแต่จะดูพฤติกรรม หลักฐาน เส้นทาง ที่มาที่ไป ถ้าเส้นทางชัดเจนว่าใครมีที่มาที่ไปไม่ถูกต้อง เปิดชื่อมาเจอคนไหนก็ดำเนินคดีคนนั้น”
อนุทินกล่าวต่อว่า “ต่อให้เปิดมาเจอชื่ออนุทินก็จับ” จึงขอให้มั่นใจว่าหากหลักฐานไปถึงใครก็จะดำเนินการทันที โดยกล่าวทิ้งท้ายว่า “ต่อให้เป็นพ่อลูกทำผิดก็ต้องมีการดำเนินคดี”
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เปิดเผยเพิ่มเติมถึงข้อมูลกลุ่มเฉินจื้อ ที่มีหวานก๊กกอย กลุ่ม 14K เป็นนายทุน ว่าตำรวจมีข้อมูลของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว โดยมีการประสานขอข้อมูลกับหลายประเทศ และยืนยันว่ากลุ่มบุคคลต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตำรวจจะดำเนินการอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด
เมื่อถามว่าหนักใจหรือไม่หากต้องดำเนินการกับ ผู้ยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ ผบ.ตร. ยืนยันว่า ไม่หนักใจเหมือนกับที่ท่านนายกรัฐมนตรีพูด ผิดก็ว่าไปตามผิด ส่วนในประเทศไทยจะมีผู้เกี่ยวข้องกับกลุ่มสแกมเมอร์หรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะดำเนินการตามข้อกฎหมายอย่างแน่นอน
