กางจดหมายเปิดผนึก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลงวันที่เมื่อ 29 กันยายน 2568 จากดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธปท.คนที่ 24 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา และ 12 เดือนข้างหน้าต่ำกว่ากรอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตกลงร่วมกัน เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1–3% เป็นเป้าหมาย นโยบายการเงินสำหรับการดูแลเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2568 โดยระบุให้ กนง. ชี้แจงเปิดเผยต่อสาธารณชน เมื่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อ ทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายนั้น
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของเดือนกรกฎาคม 2568 ที่เผยแพร่โดย กระทรวงพาณิชย์อยู่ที่ -0.7% ทำให้เฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (สิงหาคม 2567 ถึง เดือนกรกฎาคม 2568) อยู่ที่ 0.5% ประกอบกับในรายงานนโยบายการเงินไตรมาสที่ 2 ปี 2568 กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า (เดือนสิงหาคม 2568 ถึงเดือนกรกฎาคม 2569) จะอยู่ต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปัจจุบัน ดังนั้น กนง. จึงขอเรียนชี้แจงใน ประเด็น ได้แก่
- เงินเฟ้อ และนัยต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านราคา
- บทบาทของนโยบายการเงินในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน
- แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า และระยะเวลาที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เงินเฟ้อที่ต่ำ และนัยต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพราคา
กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ผ่านการเป็นเป้าหมายในการดำเนิน นโยบายการเงินในระยะปานกลาง ดังนั้น เงินเฟ้อจึงยืนยันอ่อนนอกกรอบได้บ้างในระยะสั้น ตราบใด ที่เงินเฟ้อไม่ได้สร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านราคาและเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าเงินเฟ้อในปัจจุบันยังไม่ได้มีความเสี่ยงดังกล่าว เนื่องจาก ปัจจัยต่างๆ ดังนี้
ปัจจัยแรก อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายมาจากปัจจัยด้านอุปทาน
และไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้าน อุปทานในหมวดพลังงานและอาหารสดเป็นสำคัญ โดยราคาพลังงานลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก จากค่าเฉลี่ย 12 เดือนก่อนหน้าที่ 85 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล เป็นเฉลี่ยที่ 73 ดอลลาร์ สรอ. ต่อ บาร์เรล (เดือนสิงหาคม 2567 ถึงเดือนกรกฎาคม 2568) เนื่องจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ประกอบกับมาตรการในการช่วยเหลือค่าครองชีพผ่านการลดค่าไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคา หมวดพลังงานหดตัวที่ 1.7% สำหรับหมวดอาหารสดขยายตัวในระดับต่ำที่ 0.6% โดยราคาผัก สดตามฤดูกาลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ประกอบกับฐานที่สูงจากสถานการณ์ภัยแล้ง ในปีก่อน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาที่ 0.5% เป็นผลจากราคา พลังงานและอาหารสดที่ติดลบ 0.1% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 1.0%
ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน หดตัวอยู่ที่เฉลี่ย 0.9% ในช่วง 12 เดือน ที่ผ่านมา เป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาได้ไม่มาก เนื่องจากราคาพลังงาน ที่เป็นต้นทุนหลักในการผลิตปรับลดลง นอกจากนี้ การที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไม่เร่งขึ้น สวนทาง สะท้อนเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวช้าจากปัญหาเชิงโครงสร้างภาวะการผลิตที่เผชิญการแข่งขันที่ เข้มข้นขึ้นจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ รวมทั้งอภิปรายกับความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศทั้งในแง่คุณภาพแรงงานและเทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการปรับขึ้นราคาได้ยาก
ดังนั้น อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเป็นส่วนสะท้อนราคาที่ผ่านมาภายใต้การผลิต แต่ไม่ได้เป็นเหตุที่ทำให้ เศรษฐกิจขยายตัวช้า สอดคล้องกับผลสำรวจภาคธุรกิจจำนวน 571 ราย ในเดือนกรกฎาคม 2568 ที่พบว่าปัจจัยหลักที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของภาคธุรกิจที่แท้จริง คือ อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ แต่เป็นภาวะอิ่มตัว และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และการแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง
ปัจจัยที่ 2 เงินเฟ้อที่ต่ำไม่ได้สะท้อนถึงภาวะเงินฝืด และช่วยบรรเทาค่าครองชีพประชาชน
กนง. ให้ความสำคัญกับการติดตามพัฒนาการของเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพื่อ ไม่ให้เงินเฟ้อที่ต่ำกลายเป็นการเงินฝืด หรือที่เกิดจากต่อเนื่องยาวนานจนสร้างความเสี่ยง ให้กับเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคจะชะลอการบริโภคสินค้าและบริการ เนื่องจากคาดว่าราคาจะลดลงอีกเป็นวงกว้าง
โดยปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืด ซึ่งการขับเคลื่อนในภาพรวม แม้ชะลอลงบ้าง แต่ยังเติบโตได้ สะท้อนจากภาษีภาคเอกชนในไตรมาสที่ 1 และ 2 ปี 2568 ขยายตัวที่ 2.5% และ 2.1% นอกจากนี้ ราคาสินค้าและบริการราย 60% ของสินค้าในตะกร้า เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ราคาสินค้าที่ปรับลดลงมีน้อยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาส่วนใหญ่ เงินเฟ้อในหมวดพลังงานและอาหารสด ซึ่งจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยอัตราเงินเฟ้อ ในระยะกลางยังอยู่กรอบเป้าหมาย โดยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ใน 5 ปี ข้างหน้า ที่จากผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจของ Asia Pacific Consensus Economics ณ เดือนเมษายน 2568 และข้อมูลคาดการณ์ ณ เดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ 1.6% อีกทั้งในแง่สัญญาเงินเฟ้อที่ นำไปสู่การปรับลดราคาจ้าง โดยค่าแรงงานในครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวที่ 4.6%
แม้อัตราเงินเฟ้อโดยทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ แต่ค่าครองชีพของประชาชนยังทรงตัวในระดับสูง ต่อเนื่อง จากราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 และไม่ได้ปรับลดลงมาก โดยราคาสินค้า รายการ อาทิ น้ำตาล น้ำมันพืช และน้ำดื่มบรรจุขวด อยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด โดยมีรายการสินค้าที่สำคัญ เช่น ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งในบทบาทเงินเฟ้อพื้นฐาน และเงินเฟ้อ โดยรายได้เติบโตประกอบกับครัวเรือนที่ถูกกดดันจากภาระหนี้ และภาคธุรกิจเผชิญต้นทุน ที่อยู่ในระดับสูง อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำจึงมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชน และช่วยรักษา ขีดความสามารถในการแข่งขันราคาของภาคธุรกิจได้
บทบาทของนโยบายการเงินในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน
การดำเนินนโยบายการเงินต้องคำนึงถึงความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ต่อเสถียรภาพ
เศรษฐกิจการเงิน ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting: FIT) กนง. มุ่งดูแลเสถียรภาพด้านราคา ควบคู่ไปกับเสถียรภาพด้านการเงิน
โดยเสถียรภาพด้านราคาหมายถึงการดูแลอัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลาง ให้อยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน (low and stable) ผ่านการมีเป้าหมายเงินเฟ้อแบบช่วงที่ 1-3% ที่ทำหน้าที่เป็น “หลักยึด” ให้กับการดำเนินนโยบายของประชาชนและธุรกิจ ซึ่งมีสาระสำคัญ ว่า เงินเฟ้อในระยะปานกลางจะอยู่ในเป้าหมาย กนง. จะใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อ เป้าหมายด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพของระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้เงินเฟ้อเป้าหมายตลอดเวลา จนนำไปสู่ความเสี่ยง ต่อเศรษฐกิจและระบบการเงิน
กนง. ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้ง ในปี 2568 รวม 0.75% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 1.50% จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัว ชะลอลงและมีความเสี่ยงด้านต่ำมากขึ้นเป็นสำคัญ โดยเฉพาะผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย การค้าโลก และภาวะการเงินที่ตึงตัวตามเงื่อนไขที่หดตัวต่อเนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิต โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายไม่ได้สร้างความเสี่ยง ต่อเสถียรภาพด้านราคา โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ทรงตัวในระดับต่ำไม่ได้สะท้อนภาวะเงินฝืด และ ไม่ได้เป็นต้นเหตุให้เศรษฐกิจชะลอลง สำหรับความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมปรับลดลง จากการปรับลดสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ (debt deleveraging) ที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับ วัฏจักรสินเชื่อ (credit cycle) ที่อยู่ในช่วงขาลง ดังนั้น กนง. จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อให้ ภาวะการเงินผ่อนคลายสอดคล้องกับแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจรวม ช่วยลดภาวะดอกเบี้ย ของภาคธุรกิจและครัวเรือนลงได้บ้าง
ทั้งนี้ เทียบกับแนวโน้มเศรษฐกิจ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาไม่ได้ช้าหรือ น้อยเกินไป (behind the curve) โดย กนง. ได้ประเมินสภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลงไว้แล้ว ในการกำหนดนโยบาย และส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจที่อยู่นอกกรอบซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ กนง. ประเมินไว้ ซึ่งช่วง ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง กนง. จะดำเนินนโยบายการเงินที่อิงกับแนวโน้มเศรษฐกิจ (outlook dependent) โดยหากการเดินทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงกว่าที่ประเมินไว้ กนง. ก็พร้อมจะปรับเปลี่ยน นโยบายให้เหมาะสม
อัตราดอกเบี้ยมีผลจำกัดในการดูแลเงินเฟ้อที่มาจากปัจจัยด้านอุปทาน
การผ่อนคลายนโยบายการเงินมากกว่าในปัจจุบันไม่ช่วยให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่ กรอบเป้าหมายได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเป็นผลจากปัจจัย ด้านอุปทาน ซึ่งนโยบายการเงินไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง นอกจากนี้ ภายใต้บริบทที่การชะลอตัวของ เศรษฐกิจมีต้นตอจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง การลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเดียวอาจกระตุ้นเศรษฐกิจได้ จำกัด โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ย นโยบายของไทยในอดีตและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของต่างประเทศในปัจจุบัน
ขณะที่การลดอัตราดอกเบี้ย ให้มากเกินระยะเวลาและขนาดนำไปสู่ภาระความเสี่ยงในระยะยาว เช่น ภาระหนี้ที่เกินตัว การสะสม และการลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ควร ทิ้งท้ายด้วยความไม่แน่นอน ในระยะข้างหน้ายังอยู่ในระดับสูง การรักษาสมดุลทางในการดำเนินนโยบาย (policy buffer) จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้นโยบายการเงินสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ
ในบริบทที่เศรษฐกิจเผชิญความท้าทาย การใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายควบคู่ไปกับ การใช้เครื่องมือเชิงนโยบายอื่น (integrated policy) มาช่วยตอบโจทย์อย่างตรงจุด จะช่วยให้ การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ กนง. เห็นว่าปัญหาหลัก ของเศรษฐกิจไทย คือ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและทำให้ การเติบโตชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการที่ภาคธุรกิจมีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงจะถูกกดดัน ที่รุนแรงขึ้น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงมีส่วนบรรเทาภาระและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้บ้าง ซึ่งควรดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการที่ช่วยแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างหรือปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs อาทิ กลไกการค้ำประกันสินเชื่อ และการสนับสนุนให้ SMEs ปรับตัวและเพิ่มความสามารถ ในการแข่งขัน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ
แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า และระยะเวลาที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
ในระยะข้างหน้า กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ ภายใต้ ข้อสมมติที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะ ตามการเพิ่มขึ้นของอุปทาน น้ำมันดิบ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น และจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2570 ตามราคาคาน้ำมันดิบที่ไม่ได้ลดลงต่อเนื่อง โดยเป็นผลจากอุปสงค์และอุปทาน ในตลาดน้ำมันที่สมดุลขึ้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียง 1% ตลอดช่วง ปี 2568 ถึงปี 2570
กนง. จะติดตามพัฒนาการของเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อในระยะ ปานกลางไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป จนกระทบต่อเศรษฐกิจและภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมในการแข่งขัน และลงทุน โดยความเสี่ยงสำคัญได้แก่ (1) การชะลอตัวของเงินเฟ้อจากราคาสินค้าและบริการที่ปรับ ลดลงเป็นวงกว้าง จนทำให้อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางไม่อยู่ในกรอบเป้าหมาย (2) แนวโน้มของ ราคาพลังงานโลกที่อาจเปลี่ยนแปลงตามความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก และ (3) การปรับห่วงโซ่ การผลิตและผลกระทบของการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นตามภูมิเทคนิคการค้าโลกแก่ราคาสินค้า
ทั้งนี้ ตามที่ตกลงร่วมกันระหว่าง กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 หากใน 6 เดือนข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา หรือประมาณการ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า ยังคงเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมาย เปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้ง เพื่อเป็นการสื่อสารและสร้างความเชื่อมั่นในการดูแล เสถียรภาพราคาให้แก่สาธารณชนเป็นการทั่วไป
อ้างอิง: