วันนี้ (14 ตุลาคม) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภานัดพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เสนอโดย 3 พรรคการเมือง พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายแสดงความเห็น โดยยืนยันว่า สว. ไม่เคยคิดขวางการแก้รัฐธรรมนูญตามที่กระแสข่าวปั่น ซึ่งไม่เป็นความจริง หากแต่ สว. ส่วนใหญ่รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และเคารพเสียงของประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถึง 16 ล้านเสียง เมื่อ 7 สิงหาคม 2559
พิสิษฐ์ยังยกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 ว่าหากผู้เสนอร่างรัฐธรรมนูญไม่เคารพคำวินิจฉัย หรือพยายามตีความไปในทางอื่น อาจส่งผลให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่สำเร็จ และทำให้สมาชิกรัฐสภาต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ตลอดจนอาจมีผู้ใช้อำนาจนอกสภา คือยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้
พิสิษฐ์แสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญที่พรรคประชาชนเสนอ โดยมองว่า มีความสุ่มเสี่ยงขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จนต้องตั้งชื่อว่า ‘รัฐธรรมนูญร่างเซาะกร่อนบ่อนทำลาย’ ซึ่งประเด็นแรก เห็นว่า มีเจตนาแก้รัฐธรรมนูญหมวด 1 และ 2 อย่างชัดเจน เพราะในมาตรา 256/26 อนุ 2 บัญญัติไว้ว่า “การให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จึงต้องถามว่า การปกครองระบอบนี้ต้องมีการให้ด้วยหรือ เพราะในมาตรา 2 ก็ระบุไว้ชัดเจนแล้วถึงระบอบการปกครอง
“ผมต้องร้องขอ หรือกราบขอท่านพริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และพรรคประชาชนหรือไม่ ว่าขอให้มีบทบัญญัติแบบนี้ลงไปในรัฐธรรมนูญฉบับต่อไป” พิสิษฐ์กล่าว
พิสิษฐ์กล่าวต่อไปว่า ต้องเตือนความจำว่าไม่เข็ดหรือไม่ เมื่ออดีตพรรคก้าวไกลที่ถูกยุบ เพราะมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายเป็นเหตุให้สถาบันฯ ชำรุดทรุดโทรม เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ต้องถามพริษฐ์และพรรคประชาชนว่า มีเจตนาต้องการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 หรือไม่ และท่านได้เตรียมชื่อพรรคใหม่ไว้แล้วหรือยัง
นอกจากนี้ ในหลักการและเหตุผลของพรรคประชาชน ที่ระบุว่า รัฐธรรมนูญปัจจุบันเชื่อมโยงกับคณะรัฐประหาร ผ่านกระบวนการประชามติที่ไม่เสรีและเป็นธรรม พิสิษฐ์กล่าวว่า แค่เริ่มต้นท่านก็กล่าวหาเสียงของประชาชนมากกว่า 16 ล้านเสียง ที่เห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้วว่า เป็นผู้สนับสนุนคณะรัฐประหาร
พิสิษฐ์กล่าวต่อไปว่า ร่างของพรรคประชาชนมีสภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ทั้งที่คำวินิจฉัยชัดเจนว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง อาจเป็นเหตุให้มีผู้ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดต่อคำวินิจฉัยหรือไม่ และยังฝากถึงร่างของพรรคเพื่อไทย โดย พริษฐ์ ศิรินิล สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่บัญญัติในมาตรา 256/6 ให้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดว่า ให้มีการรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ก็สุ่มเสี่ยงจะขัดต่อคำวินิจฉัยเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ การตั้งสภาที่ปรึกษา ไม่เข้าใจว่าจะมีไว้ทำไม เพราะทุกวันนี้ร่างกฎหมายทั่วไปที่ผ่านสภา กรรมาธิการสามารถตั้งที่ปรึกษาได้อยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งให้เปลืองงบประมาณเลย รวมถึงเรื่องคุณสมบัติต้องห้าม กำลังจะให้ผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองมีโอกาสเข้ามาลงสมัคร ต้องถามว่า กำลังเปิดโอกาสให้ใครบางคน หรือผู้มีบารมีนอกพรรค หรือผู้นำทางจิตวิญญาณของพวกท่าน เข้ามาทำงานยกร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่
พิสิษฐ์ยังชี้ว่า ร่างของพรรคประชาชนบัญญัติไว้ว่า ในการออกเสียงลงคะแนน ต้องได้เสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา ซึ่งทำให้หากเสียงของ สส. รวมกันได้เกินกึ่งหนึ่งก็สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แล้ว จะขัดกับคำวินิจฉัยหรือไม่ เพราะไม่เกิดการถ่วงดุลอำนาจระหว่าง 2 สภา ทั้งยังกำหนดให้พิจารณาเพียงวาะเดียว ทั้งที่กฎหมายทั่วไปต้องพิจารณา 3 วาระ
“สุดท้ายนี้ ผมหวังว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พวกท่านคงไม่เอาคำว่า ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพราะเป็นคำที่พวกท่านกลัวมากๆ และผมหรือประชาชนคงไม่ต้องการรัฐมนตรีที่มีคำนี้ สุดท้ายนี้ผมขอสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่เคารพและปฏิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด” พิสิษฐ์กล่าว
