งานศึกษาใหม่ค้นพบว่า ตลอดปีที่ผ่านมา ราคาบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้น ช่วยสร้างเศรษฐีคริปโตรายใหม่กว่า 70,000 คน ซึ่งอาจส่งผลให้เม็ดเงินจำนวนมหาศาล จะถูกนำมาใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกหลายแสนล้านดอลลาร์
Henley & Partners and New World Wealth ประมาณการว่า ปัจจุบัน มีเศรษฐีคริปโต ซึ่งถือครองคริปโตเป็นมูลค่าตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป ประมาณ 241,700 คน เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน
นอกจากนี้ ยังมีผู้ถือครองคริปโต ตั้งแต่ 100 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป (Centimillionaires) อีก 450 คน และมหาเศรษฐีคริปโต 36 คน (Billionaires)
ด้วยกฎระเบียบที่ผ่อนคลายมากขึ้น ประกอบกับปัจจัยอื่นๆ เช่น การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และความกังวลต่อการขาดดุลงบประมาณ รวมถึงภาระการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้บิตคอยน์ได้รับความนิยมมากขึ้น จนมีราคาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงปีที่ผ่านมา
มูลค่าตลาดรวมของ สกุลเงินคริปโต ทะยานสูงกว่าระดับ 4.3 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว แม้จะยังเล็กเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น ซึ่ง Nvidia เพียงแค่บริษัทเดียวก็มีมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์แล้วก็ตาม แต่ด้วยกระแสความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้น ก็ได้สร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้แก่นักลงทุนกลุ่มมิลเลนเนียล และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ลงทุนคริปโตแต่เนิ่นๆ
Philipp Baumann ผู้ก่อตั้งบริษัทเทรดคริปโต Z22 Technologies กล่าวว่า “บิตคอยน์ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของระบบการเงินคู่ขนาน ซึ่งไม่ได้มีไว้เพื่อเก็งกำไรในสกุลเงินเฟียต (Fiat Currency) เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่บิตคอยน์กำลังจะกลายเป็นสกุลเงินหลักในการสั่งสมความมั่งคั่ง”
แม้เศรษฐีคริปโตจะเป็นชนชั้นที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ และยังไม่มีงานวิจัยศึกษาเพียงพอ ถึงพฤติกรรมการลงทุนและการใช้จ่ายเงินของประชากรกลุ่มนี้ แต่งานศึกษาล่าสุดได้วิเคราะห์พฤติกรรมร่วม ซึ่งอาจสะท้อนบางแง่มุมของกลุ่มเศรษฐีคริปโตได้บ้าง
งานศึกษาล่าสุดพบว่า เศรษฐีคริปโต มีความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายในการใช้จ่าย (Marginal Propensity to Spending) สูงถึง 9.7 เซนต์ เมื่อผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าระดับที่พบในการลงทุนหุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ มากเป็น 2 เท่า ซึ่งอาจมีสาเหตุหลักมาจากอายุของนักลงทุนคริปโตที่มักมีอายุน้อย
โดยงานวิจัยประมาณการว่า ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นจากคริปโต ส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มเติมกว่า 145,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 หรือเท่ากับ 0.7% ของการบริโภคโดยรวมในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ งานศึกษาระบุ นักลงทุนคริปโตเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) นักลงทุนที่กระจายความเสี่ยง โดยแบ่งเงินลงทุนบางส่วนถือครองสินทรัพย์คริปโต และ 2) นักลงทุน ‘ทุ่มสุดตัว’ (All-In) ซึ่งลงเงิน 100% ของสินทรัพย์ไปกับการลงทุนในคริปโต
งานศึกษาพบว่า ยิ่งนักลงทุนกระจายความเสี่ยงมากเท่าไร ก็ยิ่งมีแนวโน้มใช้เงินกำไรที่ได้จากคริปโตมากตามไปด้วย ขณะที่นักลงทุนแบบ ‘ทุ่มสุดตัว’ แทบไม่เปลี่ยนแปลงการใช้จ่าย เนื่องจากนักลงทุนกลุ่มนี้ มี ‘ความเชื่อมั่นแรงกล้า’ ต่ออนาคตของสกุลเงินดิจิทัล และไม่คิดขายสินทรัพย์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เศรษฐีคริปโตส่วนใหญ่ไม่ได้นำเงินไปซื้อซูเปอร์คาร์ หรือนาฬิกาหรู แต่กลับนำเงินไปใช้จ่ายในร้านอาหาร ความบันเทิง และสินค้าทั่วไป
ขณะที่งานศึกษาชิ้นก่อนพบว่า เศรษฐีคริปโตนิยมซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยพบว่ายิ่งประชากรในประเทศมีแนวโน้มถือครองคริปโตมากเพียงไร เมื่อบิตคอยน์ราคาสูงขึ้น ราคาบ้านยิ่งปรับตัวสูงขึ้น 0.46% ไวกว่ากลุ่มประเทศถือบิตคอยน์ต่ำ
นอกจากนี้ Tad Smith อดีต ซีอีโอของ Sotheby’s และเป็นหุ้นส่วนที่ 50T Funds บริษัทร่วมทุนที่เน้นลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลกล่าวว่า การเฟื่องฟูของคริปโตอาจไม่ได้นำไปสู่การใช้จ่ายทันที เนื่องจากนักลงทุนคริปโตส่วนมากต่างคาดหวังให้ราคาสูงขึ้นกว่านี้
นอกจากนี้ Smith ยังพูดถึงกลุ่ม ‘วาฬ’ ซึ่งเป็นผู้ถือบิตคอยน์รายใหญ่และถือยาว ซึ่งอาจขายเอาเงินสดบางส่วนในช่วงที่ราคากำลังสูงขึ้น แต่ในภาพรวม นักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงมุ่งมั่นเพิ่มเงินเข้าไปในคริปโต
ในระยะยาว Smith มองว่า เศรษฐีคริปโตจะเริ่มมีอายุมากขึ้น และเริ่มสร้างครอบครัว ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้จ่ายเงินในภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
ทั้งนี้ การใช้จ่ายของเศรษฐีคริปโตมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น เนื่องจากผู้คนยอมรับสินเชื่อที่มีคริปโตเป็นหลักประกันมากขึ้น ที่สำคัญคือ Bill Pulte ผู้อำนวยการหน่วยงานดูแลการปล่อยสินเชื่อด้านอสังหาของอเมริกา (FHFA) ได้ออกคำสั่งให้ Fannie Mae และ Freddie Mac บริษัทสินเชื่อบ้านยักษ์ใหญ่ของรัฐบาล พิจารณาคริปโตเป็นสินทรัพย์ในการขอสินเชื่อบ้านไว้เมื่อเดือนมิถุนายน
ภาพ: Kunchit prompheat / Shutterstock
อ้างอิง:
