ธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ว่า GDP ของไทยในอีก 25 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2050 อาจหายไป 7-14% หากไม่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจะส่งผลให้การบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงทำได้ยากขึ้นมาก
จากรายงานการพัฒนาประเทศและสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (Thailand Country Climate and Development Report – CCDR) ที่จัดทำโดย World Bank ล่าสุด ระบุว่า ต้นทุนและความเสี่ยงของการไม่ดำเนินการ (costs of inaction) ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงกว่าต้นทุนที่ต้องลงทุนอย่างมาก เมื่อพิจารณาจาแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์มหภาค 2 รูปแบบที่ใช้ในการประเมินผลกระทบภายใต้สถานการณ์ธุรกิจตามปกติ (Business-as-Usual – BAU)
สถานการณ์การปรับตัวนี้รวมถึงการลงทุนในการบรรเทาอุทกภัย ความมั่นคงทางน้ำ การป้องกันชายฝั่ง และมาตรการอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทยในการจำกัดและปรับตัวต่อผลกระทบทางกายภาพของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แบบจำลองสะท้อนให้เห็นว่า การสูญเสีย GDP ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ภายในปี 2050 GDP จะลดลง 7-14% ซึ่งหมายความว่าในอีก 2 – 3 ทศวรรษข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจลดอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีลง 0.5% หรือมากกว่า ทำให้การบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2037 ที่ท้าทายอยู่แล้วทำได้ยากขึ้นไปอีก เพราะต้องอาศัยการเติบโตของ GDP เฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี
ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อ GDP อย่างหนักที่สุดคือ การสูญเสียผลิตภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อน (heat related labor productivity loss) ซึ่งกระทบต่อแรงงานในทุกภาคส่วนและทั่วประเทศ
ขณะที่ความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางกายภาพที่สำคัญที่สุดคืออุทกภัยและความเครียดจากความร้อน ซึ่งล้วนมีต้นทุนสูงมาก อย่างเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2011 ก่อให้เกิดความเสียหายสูงถึง 12.6% ของ GDP หากเกิดอุทกภัยในระดับเดียวกันซ้ำในปี 2030 อาจส่งผลให้ GDP ของไทยลดลงเกือบ 10% ในปีนั้น และการสูญเสียจะเพิ่มเป็น 15% หากการฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้า โดยรวมแล้ว ผลกระทบจากน้ำท่วมมีค่าเฉลี่ยประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3% ของ GDP ต่อปี
สำหรับกรุงเทพมหานคร การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทุก 1 องศาเซลเซียส อาจก่อให้เกิดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการตายจากความร้อน การสูญเสียผลิตภาพ และการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น ระหว่าง 85,000 – 123,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับ 1.6-2% ของ GDP กรุงเทพฯ ในปี 2019
นอกจากภัยคุกคามทางกายภาพแล้ว ประเทศไทยยังเผชิญความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากการที่ประเทศคู่ค้าเร่งลดการปล่อยคาร์บอน หากไทยไม่เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง ในขณะที่คู่ค้าใช้มาตรการเข้มงวด เช่น การสูญเสียการเข้าถึงห่วงโซ่คุณค่าและการลดลงของรายได้จากการท่องเที่ยว อาจส่งผลให้ GDP ลดลงเกือบ 7% ภายในปี 2050
มากไปกว่านั้นยังมีแรงกดดันจากบริษัทข้ามชาติ ซึ่งประมาณ 78% ของบริษัทข้ามชาติ (MNCs) วางแผนที่จะกีดกันซัพพลายเออร์ที่ปล่อยคาร์บอนสูงออกจากห่วงโซ่อุปทานของตนตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป
ผลตอบแทนมหาศาลจากการลงมือทำ GDP อาจพุ่ง 4-5%
แม้ว่าการลงทุนที่จำเป็นในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศจะสูง แต่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสุทธิก็จะสูงกว่ามาก CCDR ประเมินว่า การลงทุนเพิ่มเติมที่จำเป็นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งการปรับตัวและการบรรเทาผลกระทบ อยู่ที่ 219,000 ล้านดอลลาร์ ในมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ตลอด 25 ปีข้างหน้า ซึ่งเท่ากับ 2.4% ของ GDP สะสม
การลงทุนเพื่อปรับตัว เช่น การป้องกันน้ำท่วม, ความมั่นคงทางน้ำ, การป้องกันชายฝั่ง ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยกว่า 1% ของ GDP ต่อปี สามารถเพิ่ม GDP ต่อปีได้ 2-3% ภายในปี 2040 และ 4-5% ภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ไม่มีการปรับตัว
ภายใต้สถานการณ์การลดคาร์บอนแบบเร่งรัด (Accelerated Decarbonization – AD) คาดการณ์ว่า GDP ในปี 2050 จะสูงขึ้นถึง 2.5% เมื่อเทียบกับสถานการณ์ฐาน
การระดมทุนและการปฏิรูปเชิงนโยบาย
การลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศต้องอาศัยการจัดสรรเงินทุนจากภาครัฐและเอกชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยภาครัฐต้องรับผิดชอบหลักในการลงทุนด้านการปรับตัว ซึ่งรวมถึงการป้องกันน้ำท่วม การจัดการน้ำ และการคุ้มครองทางสังคม โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายสาธารณะเพิ่มเติมด้านการปรับตัวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1% ของ GDP ต่อปี ตลอด 25 ปีข้างหน้า
การนำเครื่องมือกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) มาใช้ โดยสมมติว่าราคาเริ่มต้นที่ 25 ดอลลาร์ต่อ tCO2e ในปี 2030 มีศักยภาพในการสร้างรายได้สาธารณะใกล้เคียง 1% ของ GDP ในปี 2030 รายได้นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำไปชดเชยค่าใช้จ่ายด้านการปรับตัวและมาตรการทางสังคมเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อครัวเรือนยากจน
ส่วนการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนแบบเร่งด่วนต้องอาศัยการปฏิรูปโครงสร้างตลาดพลังงานเพื่อส่งเสริมการแข่งขันและการรับเอาพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) โดยจะต้องมีการลงทุนในด้านพลังงานหมุนเวียนและการปรับปรุงกริดให้ทันสมัย คิดเป็นต้นทุนรวม 98,000 ล้านดอลลาร์ แต่จะส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมลดลงเหลือ 5.6 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งต่ำกว่าสถานการณ์ปกติที่ 7 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีโอกาสสูงในการเป็นผู้ส่งออกสินค้าและบริการสีเขียว โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ และเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน ซึ่งอาจช่วยเพิ่มการส่งออกอีก 2-3% ของ GDP ภายในปี 2030