Telenor Group ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสัญชาตินอร์เวย์ ได้ตอกย้ำมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในประเทศไทย โดยชี้ว่า บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ True ถือเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นสินทรัพย์ที่คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงที่สุดของพอร์ตโฟลิโอในระยะกลาง สะท้อนความเชื่อมั่นอย่างสูงหลังการควบรวมกิจการที่ประสบความสำเร็จ
Jon Omund Revhaug ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ เอเชีย กล่าวว่า ในพอร์ตโฟลิโอของเราในปัจจุบัน ทรูคือสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตของมูลค่ามากที่สุดในระยะกลาง
นับตั้งแต่การควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC เสร็จสิ้นในปี 2566 มูลค่าหุ้นที่เทเลนอร์ถือครองในทรูได้เพิ่มสูงขึ้นแล้วประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท ประกอบกับผลการดำเนินงานของทรูที่สามารถพลิกกลับมามีกำไรใน 2 ไตรมาสล่าสุด
“เราคาดว่าทรูจะอยู่ในสถานะที่สามารถจะเริ่มจ่ายเงินปันผลได้ก่อนสิ้นปีนี้” Jon กล่าว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและส่งสัญญาณบวกถึงผู้ถือหุ้น
มุมมองเชิงบวกของเทเลนอร์ไม่ได้เกิดขึ้นจากผลการดำเนินงานของทรูเพียงอย่างเดียว แต่ยังตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านดิจิทัลของภูมิภาค
Benedicte Schilbred Fasmer ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทเลนอร์ กรุ๊ป กล่าวว่า ประเทศไทยและนอร์เวย์มีความคล้ายคลึงกันในการเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรวดเร็ว โดยประเทศไทยมีจุดแข็งที่ชัดเจนหลายประการ ได้แก่ อัตราการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือสูงถึง 95.5% และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 89.5% ของประชากร
นอกจากนี้ เศรษฐกิจดิจิทัลที่แข็งแกร่งสะท้อนจากมูลค่าธุรกรรมออนไลน์สูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 4G และ 5G ที่ครอบคลุม และยังมีคณะกรรมการ AI แห่งชาติที่ตั้งเป้าผลิตบุคลากรด้าน AI จำนวนมากในอีก 2 ปีข้างหน้า
“การผสมผสานระหว่างโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรที่มีทักษะ จะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับภูมิภาคของบริษัทไทย เพิ่มผลิตภาพ และขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ” Benedicte กล่าว
เทเลนอร์ย้ำว่าบทบาทจากการถือหุ้นใน TRUE ไม่ใช่เพียงผู้ถือหุ้น แต่เป็นพันธมิตรที่เท่าเทียมและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน โดยจะนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจากตลาดนอร์ดิกและทั่วโลกเข้ามาสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของทรูไปสู่การเป็น ‘บริษัทเทคโนโลยี’ อย่างเต็มตัว
โดยมี AI เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะเข้ามาเพิ่มมูลค่าให้กับพอร์ตการลงทุน ทั้งการใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงานของเครือข่ายและธุรกิจ และใช้ AI เพื่อสร้างความเข้าใจลูกค้าในระดับที่ลึกขึ้น นำไปสู่การนำเสนอบริการแบบ Hyper-personalization ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ
