×

‘คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว’ ถอดบทเรียนระบบนิเวศดิจิทัลไอร์แลนด์ โอกาสยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางดิจิทัลแห่งอาเซียน

01.10.2025
  • LOADING...
ASEAN Digital Hub

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การแข่งขันไม่ได้อยู่ที่การผลิตสินค้าราคาถูกอีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างนวัตกรรม การใช้ประโยชน์จากข้อมูล และการเชื่อมโยงเครือข่ายระดับโลก การสร้างระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) จึงกลายเป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่

 

ประเทศไทยตระหนักถึงความท้าทายนี้ และประกาศนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวนำ ขณะเดียวกัน ไอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จที่สุดในการเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจเกษตรกรรมที่ยากจน ไปสู่การเป็น Digital Powerhouse ของยุโรป และสามารถดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกมาตั้งฐานได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งศตวรรษ

 

การประชุม Thailand–Ireland Forum: Advancing Technology and Digital Partnership ที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ จึงเป็นเวทีที่ทรงคุณค่า เพราะเปิดโอกาสให้ผู้แทนจากทั้งสองประเทศ รวมถึงนักการทูต ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ได้ถ่ายทอดมุมมองร่วมกันถึงโอกาสและความท้าทายในการพัฒนาดิจิทัล ทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า “Think Big, Start Small, Move Fast” หรือ “คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว” ไม่ใช่เพียงสโลแกน แต่คือยุทธศาสตร์การพัฒนาที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง

 

ไอร์แลนด์ จากเกษตรกรรมสู่ศูนย์กลางดิจิทัล

 

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 ไอร์แลนด์ยังคงเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ล้าหลัง มี GDP ต่อหัวเพียง 4,200 ดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการว่างงานสูง การอพยพแรงงานไปต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ แต่หลังจากนั้นประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรเพียง 5 ล้านคนนี้กลับสร้าง “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ” จนถูกขนานนามว่า Celtic Tiger

 

แพทริก บอร์น (Patrick Bourne) เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย อธิบายในงานประชุมว่า ความสำเร็จของไอร์แลนด์เกิดจากการเลือกเดินเส้นทางที่แตกต่างออกไปจากประเทศเพื่อนบ้านในยุโรป โดยเปิดประเทศรับการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) อย่างจริงจัง ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบด้านภาษาอังกฤษ และกำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลต่ำที่สุดในสหภาพยุโรป (12.5%) เพื่อดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่ เขาย้ำว่า “ไอร์แลนด์ไม่ได้ชนะเพราะโชคช่วย แต่เพราะการออกแบบเชิงยุทธศาสตร์และความต่อเนื่องทางนโยบาย”

 

 

ฟิลิป ดันน์ (Philip Dunn) จาก IDA Ireland เสริมว่า การเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปทำให้ไอร์แลนด์กลายเป็น “ประตูสู่ตลาดยุโรป” บริษัทต่างชาติจึงเลือกตั้งสำนักงานใหญ่ที่ดับลินเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 400 ล้านคนใน EU ได้สะดวก

 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลไอร์แลนด์ยังลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การวิจัยและพัฒนา และระบบโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการลงทุนเหล่านี้

 

ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Google และ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) เลือกดับลินเป็นสำนักงานใหญ่ในยุโรป ซึ่งกลายเป็นจุดดึงดูดให้บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ตามมาเป็นคลื่นต่อเนื่อง สร้างกระแส “Cluster Effect” ที่ยกระดับระบบนิเวศดิจิทัลทั้งประเทศ

 

ลงทุนในคน หัวใจของระบบนิเวศดิจิทัล

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ไอร์แลนด์แตกต่างจากประเทศอื่นที่มีนโยบายดึงดูด FDI คล้ายกันคือ การลงทุนในคน ไอร์แลนด์ตัดสินใจลงทุนระยะยาวในระบบการศึกษา โดยเฉพาะการทำให้มหาวิทยาลัย กลายเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงได้ฟรีสำหรับคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ปัจจุบัน 63% ของประชากรอายุ 25–34 ปี จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา และในจำนวนนั้นเป็นบัณฑิตสาย STEM มากที่สุดในสหภาพยุโรป

 

ดร. ฮิวจ์ โอ คอนเนลล์ (Hugh O’Connell) กรรมการผู้จัดการ ICDL Thailand องค์กรยกระดับมาตรฐานความสามารถด้านดิจิทัลในภาคแรงงาน การศึกษา และสังคม ชี้ว่า “ความสำเร็จของไอร์แลนด์ไม่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่เป็นเพราะบริษัทยักษ์ใหญ่มั่นใจว่าพวกเขาจะหาคนเก่งได้” 

 

เขาเน้นว่า Digital Literacy หรือทักษะความรู้และความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล คือรากฐานสำคัญ ก่อนที่ก้าวจะไปสู่ AI, Big Data หรือ Blockchain โดยมองว่า หากคนไม่มีทักษะพื้นฐาน เช่น Excel, การจัดการข้อมูล หรือการสื่อสารดิจิทัล การลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงก็ไม่เกิดประสิทธิผล

 

 

พอล สเกลส์ (Paul Scales) รองประธานหอการค้าไอร์แลนด์–ไทย เสริมมุมมองว่า ไอร์แลนด์ประสบความสำเร็จเพราะการสร้างความร่วมมือสามฝ่ายระหว่างรัฐ มหาวิทยาลัย และเอกชนอย่างใกล้ชิด หรือที่เรียกว่า Triple Helix Model

 

โดยสิ่งนี้ทำให้การผลิตบัณฑิตสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และยังเปิดโอกาสให้เกิดการวิจัยร่วมที่สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้จริง

 

จาก Thailand 4.0 สู่ ASEAN Digital Hub

 

ประเทศไทยมีความได้เปรียบหลายด้านในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นตลาดภายในประเทศที่ใหญ่ มีประชากรเกือบ 70 ล้านคน อัตราการใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียสูงติดอันดับโลก และทำเลที่ตั้งใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนในภูมิภาคได้

 

อภิชยา ศรีคชา ผู้อำนวยการสำนักอุตสาหกรรมบริการและการแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) กล่าวว่า โครงการพัฒนาพื้นที่ EEC เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการสร้าง Digital Hub ของไทย เพราะรวมการลงทุนด้าน 5G, Data Center, รถยนต์ไฟฟ้า และหุ่นยนต์ไว้ในพื้นที่เดียวกัน 

 

เธอมองว่า สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำ คือ “สร้างกลไกเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการศึกษากับอุตสาหกรรม เพื่อปิดช่องว่างด้านทักษะและผลิตบุคลากรตรงตามที่ตลาดต้องการจริงๆ”

 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ไทยเผชิญคือ ช่องว่างทักษะบุคลากร แม้คนรุ่นใหม่จะเป็น ‘Digital Native’ แต่การใช้งานส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ที่โซเชียลมีเดีย ขณะที่ทักษะที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนโปรแกรม หรือการใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะทาง ยังขาดแคลนอย่างมาก

 

คริส จอห์นสตัน (Chris Johnston) ผู้บริหารจาก Kingspan Asia ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านวัสดุก่อสร้างประหยัดพลังงาน ชี้ว่าแรงงานไทยมีฝีมือด้านปฏิบัติการสูง แต่ยังขาดความรู้ดิจิทัลเชิงออกแบบ เช่น Building Information Modeling (BIM) ซึ่งเป็นมาตรฐานในยุโรป หากไทยต้องการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างให้ยั่งยืน ก็จำเป็นต้องเร่งเติมเต็มช่องว่างนี้

 

 

ด้าน ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สะท้อนวิสัยทัศน์การผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีของภูมิภาค” โดยมีเป้าหมายหลักคือ การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเกิดและเติบโตของสตาร์ตอัป ตลอดจนการผลักดันผู้ประกอบการนวัตกรรม และการเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านกลไก ‘4G’ ซึ่งประกอบด้วย 

 

  1. Groom (ส่งเสริม): บ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ
  2. Grant (สนับสนุน): สนับสนุนเงินทุนและทรัพยากรที่จำเป็นต่อการเติบโต
  3. Growth (เติบโต): สร้างโอกาสในการเติบโตแบบก้าวกระโดด
  4. Global (สู่สากล): ผลักดันให้ธุรกิจไทยขยายไปสู่ตลาดโลก

 

ดร.กริชผกา เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่สตาร์ตอัปไทยต้องมีคือ ‘Global Mindset’ หรือ ‘วิธีคิดเชิงสากล’

 

เธออธิบายว่าทุกปัญหาที่สตาร์ตอัปไทยพยายามแก้ไข ไม่ได้มีเพียงผู้บริโภคในประเทศที่เผชิญ แต่ผู้ประกอบการจากทั่วโลกก็กำลังคิดหาทางออกให้กับโจทย์เดียวกัน ดังนั้น หากผู้ประกอบการไทยยังคงจำกัดวิสัยทัศน์เพียงตลาดในประเทศหรืออาเซียน พวกเขาอาจพลาดโอกาสและเสียเปรียบในสนามแข่งขันที่กว้างใหญ่กว่ามาก Global Mindset จึงหมายถึงการคิดตั้งแต่ต้นว่าธุรกิจที่สร้างขึ้นจะสามารถยืนอยู่ตรงไหนในตลาดโลก จะปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานสากลอย่างไร และจะออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในหลากหลายวัฒนธรรมได้อย่างไร

 

 

ขณะที่การมี Global Mindset ไม่ได้หมายถึงเพียงการขยายตลาดไปต่างประเทศ แต่ยังรวมถึงการสร้างทีมงานที่มีความหลากหลาย การเปิดกว้างต่อเครือข่ายและพันธมิตรระดับนานาชาติ การมองเห็นโอกาสจากการทำงานร่วมกันแม้จะเป็นคู่แข่งในบางด้าน และการดึงทรัพยากรจากภายนอกมาช่วยเสริมศักยภาพ

 

โดยการได้เผชิญหน้ากับการแข่งขันระดับนานาชาติ จะทำให้สตาร์ตอัปไทยเรียนรู้ในการปรับวิธีคิด กลยุทธ์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล

 

คำตอบจากไอร์แลนด์ ‘คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว’

 

หนึ่งในแนวคิดที่ถูกย้ำหลายครั้งบนเวทีคือ “Think Big, Start Small, Move Fast” หรือ “คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว” ซึ่ง ดร.โอ คอนเนลล์ อธิบายว่า เป็นสูตรสำเร็จของไอร์แลนด์ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

 

เขากล่าวว่า “เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งประเทศได้ในชั่วข้ามคืน แต่ถ้าเราเริ่มจากโครงการเล็ก ๆ ที่เห็นผลจริง เราสามารถขยายผลได้เร็วและยั่งยืน”

 

 

แพท โอ ริออร์แดน (Pat O’Riordan) ผู้อำนวยการ ASEAN Enterprise Ireland เน้นว่า การ “คิดใหญ่” ต้องหมายถึงการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าประเทศต้องการเป็นอะไร สำหรับไอร์แลนด์นั้น เป้าหมายคือการเป็น Digital Gateway ของยุโรป แต่สำหรับไทย เป้าหมายอาจเป็นการเป็น ASEAN Digital Hub ที่ดึงดูดทั้งการลงทุน การวิจัย และการพัฒนาสตาร์ตอัป

 

โดยการ “เริ่มเล็ก” อาจหมายถึงการสร้าง Sandbox ในอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น Fintech (เทคโนโลยีทางการเงิน) หรือ Healthtech (เทคโนโลยีสุขภาพ) เพื่อทดลองนวัตกรรมและกฎระเบียบที่ยืดหยุ่น ก่อนจะขยายไปสู่ทั้งประเทศ

 

ขณะที่การ “เดินเร็ว” คือการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบให้ทันต่อเทคโนโลยีใหม่ ไม่ปล่อยให้ระบบราชการเป็นตัวฉุดรั้ง

 

 

นอกจากนี้ Scales ยังตั้งข้อสังเกตว่า ไทยควรพิจารณาขยายสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยยกตัวอย่างสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ไทย–สหรัฐฯ ซึ่งให้สิทธิพิเศษนักลงทุนอเมริกันเหนือประเทศอื่น ซึ่งเขาตั้งคำถามว่า “หากไทยต้องการเป็น hub ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลจริง ๆ ทำไมไม่สร้างกรอบสิทธิประโยชน์แบบเดียวกันให้กับพันธมิตรยุทธศาสตร์ประเทศอื่น ๆ ด้วย”

 

สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำ?

 

เมื่อถอดบทเรียนจากไอร์แลนด์และฟังเสียงจากผู้เชี่ยวชาญ คำถามที่ประเทศไทยต้องเผชิญไม่ใช่ “เราจะทำได้หรือไม่” แต่คือ “เราจะทำอย่างไร”

 

ความเห็นโดยรวมจากผู้เชี่ยวชาญภายในงาน มองว่าสิ่งที่ประเทศไทยต้องทำ หลักๆ ได้แก่

 

  • ผลักดันการศึกษาเทคโนโลยีดิจิทัลให้เข้าถึงประชาชนทุกคน
  • สร้างความร่วมมือเชิงลึกระหว่างรัฐบาล มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน ให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างบุคลากรที่ระบบการศึกษาผลิตออกมา กับบุคลากรที่ตลาดต้องการ
  • เปิดรับแรงงานชาวต่างชาติที่เชี่ยวชาญทักษะด้านดิจิทัล ด้วยระบบวีซ่าและแรงงานที่ยืดหยุ่น เพื่อเติมเต็มทักษะที่ไทยยังขาด
  • ผลักดันสตาร์ตอัปไทยให้มี Global Mindset ตั้งแต่วันแรก ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และแข่งขันในเวทีโลกได้
  • ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบให้ทันสมัย โปร่งใส และมั่นคง สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนระยะยาว
  • สร้างยุทธศาสตร์ คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว ด้วยการลงมือทำจริงและต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้คือบทเรียนจากไอร์แลนด์ ซึ่งยืนยันได้ว่า “ขนาดของประเทศไม่ใช่ตัวกำหนดศักยภาพ” หากแต่เป็น “วิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ การลงทุนในคน และความต่อเนื่องทางนโยบายที่สำคัญที่สุด” 

 

สำหรับไทย เรามีศักยภาพทั้งในด้านตลาด ทำเล และแรงงานรุ่นใหม่ แต่สิ่งที่ต้องการคือการเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกันเป็นระบบนิเวศที่แข็งแรง

 

การจะเป็น ASEAN Digital Hub นั้นไม่ใช่แค่ความฝัน หากแต่เป็นโจทย์ที่ไทยต้องลงมือทำอย่างจริงจัง และต้องทำทันทีหากต้องการยืนอยู่แถวหน้าในเวทีดิจิทัลของภูมิภาค

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising