ในวันที่หลายคนเริ่มนิยามความสำเร็จของชีวิตไม่เหมือนเดิม การแต่งงานไม่ใช่เป้าหมายเดียว การมีลูกไม่ใช่คำตอบที่ทุกคนเลือก คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยหันมาใช้ชีวิตแบบ SINK (Single Income No Kids) หรือ DINK (Double Income No Kids)
โฟกัสกับงาน ความฝัน ไลฟ์สไตล์ และการใช้ชีวิตปัจจุบันให้เต็มที่มากที่สุด
- บางคนเลือกเก็บเงินไปเที่ยวปีละหลายประเทศ
- อีกคนลงทุนกับการเรียนรู้ หาคอร์สใหม่ๆ ที่เติมไฟให้ตัวเอง
- หลายคู่เลือกใช้เวลาสร้างความทรงจำแทนการสร้างครอบครัวใหญ่
นี่คือภาพที่สะท้อนว่า อิสระ คือคุณค่าที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญที่สุด
แต่ทุกความอิสระมาพร้อมคำถามที่หลายคนยังไม่ได้คิดไว้ “แล้วอนาคต เราจะดูแลตัวเองอย่างไร?”
เพราะความจริงคือ อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 78 ปี (World Bank, 2023) แต่ช่วงชีวิตที่สุขภาพแข็งแรงจริงๆ มีเพียง 67 ปี เท่านั้น (WHO, 2019) นั่นหมายความว่า เราอาจต้องอยู่กับร่างกายที่เสื่อมถอยไปอีกกว่า 10 ปี
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO, 2021) ยังบอกอีกว่า
- เกือบ 1 ใน 5 ของผู้สูงอายุไทย ต้องการความช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน
- และ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ สูงกว่าวัยทำงานเฉลี่ยถึง 3 เท่า
ตัวเลขเหล่านี้จึงอาจไม่ได้ไกลตัวเราเลย
ถ้าเป็น SINK
ชีวิตโสดคืออิสระเต็มรูปแบบ คุณเลือกทุกอย่างได้เอง ตั้งแต่การทำงาน การใช้เงิน ไปจนถึงการใช้เวลาวันหยุด แต่ในวันที่สุขภาพไม่เหมือนเดิม จะไม่มีใครคอยช่วยแชร์ภาระ นี่คือเหตุผลที่ ประกันสุขภาพ กลายเป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับคนโสดโดยตรง เพราะค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สามารถทำลายเงินออมที่เราสะสมมาทั้งชีวิตได้ในเวลาไม่กี่เดือน
ในขณะเดียวกัน คนโสดจำนวนไม่น้อยยังมีพ่อแม่ที่อยากดูแลต่อ การมี ประกันชีวิตวงเงินพอเหมาะ จึงเป็นวิธีส่งต่อความมั่นคงให้ครอบครัวโดยไม่กระทบเสรีภาพของตัวเอง และสำหรับคนโสดที่ฐานะมั่นคง อาจเลือก ประกันแบบสะสมมูลค่า หรือ ประกันบำนาญ เพื่อเปลี่ยนค่าเบี้ยให้กลายเป็น “กองทุนสำรอง” สำหรับวัยเกษียณในอนาคต
พูดอีกแบบ…คนโสดไม่ได้ทำประกันเพื่อคนอื่น แต่เพื่อให้มั่นใจว่า อิสระของตัวเองจะอยู่กับเราไปจนถึงวันสุดท้าย
ถ้าเป็น DINK
คู่รักไร้ลูกส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ รายได้สองทางทำให้สามารถสร้างบ้าน ซื้อรถ และวางแผนการเดินทางได้บ่อยครั้ง หลายคู่จึงรู้สึกว่า “ไม่จำเป็นต้องทำประกันชีวิตให้อีกฝ่าย” เพราะต่างคนต่างเลี้ยงตัวเองได้
แต่ความจริงคือ เมื่อใครคนหนึ่งหายไป รายได้ของทั้งคู่ก็หายไปทันทีครึ่งหนึ่ง ขณะที่ภาระหลัก เช่น บ้าน รถ หรือหนี้สินร่วม ยังคงอยู่เหมือนเดิม นี่คือเหตุผลที่ ประกันชีวิตไขว้กัน มีความหมาย เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่อยู่ เงินชดเชยที่ได้มาจะช่วยให้คนที่เหลือยังมีเวลาและกำลังใจพอที่จะปรับตัว ไม่ต้องถูกบังคับให้ขายบ้านหรือต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ และไม่ใช่แค่เรื่องรายได้เท่านั้น หากวันหนึ่งใครคนใดคนหนึ่งเจ็บป่วยรุนแรง การมีประกันสุขภาพแบบครอบคลุม ก็ทำให้ชีวิตคู่เดินหน้าต่อได้โดยไม่ต้องเสียแผนที่สร้างมาด้วยกันไปทั้งหมด
สุดท้ายแล้วการวางแผนเหล่านี้ไม่ได้ทำเพื่ออีกฝ่ายเท่านั้น แต่คือการดูแล “ตัวเราเอง” ในวันที่ต้องอยู่ลำพัง
อิสระที่ต้องมีรากฐาน
ไม่ว่าคุณจะเป็น SINK ที่เลือกใช้ชีวิตโสดอย่างเต็มที่ หรือเป็น DINK ที่สร้างโลกสองคนโดยไม่ต้องมีลูก สิ่งที่เหมือนกันคือทุกความเสี่ยงในอนาคต เราต้องเป็นคนรับผิดชอบเองทั้งหมด สำหรับคนโสด ความมั่นคงคือการทำให้แน่ใจว่า หากวันหนึ่งสุขภาพไม่เหมือนเดิม คุณยังคงมีทางเลือก ไม่ต้องให้เงินเก็บทั้งชีวิตหายไปกับค่ารักษา และยังพอมีแรงเหลือดูแลพ่อแม่หรือคนที่คุณรัก ส่วนคู่รักไร้ลูก ความมั่นคงคือการมั่นใจได้ว่า หากอีกฝ่ายหายไปกะทันหัน ชีวิตของอีกคนจะไม่สะดุด บ้าน รถ และความฝันที่วางไว้ด้วยกันยังคงเดินต่อไปได้
นี่คือ “ราคาของอิสระ” ที่เราต้องยอมรับ และ “หลักประกัน” ก็คือเครื่องมือที่ช่วยรองรับในวันที่เราไม่อาจควบคุมทุกอย่างได้เอง สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน แต่คือเราจะปกป้องอิสระที่เลือกไว้อย่างไร หากวันหนึ่งสุขภาพไม่เหมือนเดิม คุณมีระบบรองรับแล้วหรือยัง และถ้าอีก 10-20 ปีข้างหน้า คุณยังอยากมีชีวิตที่อิสระเหมือนวันนี้ คุณได้วางรากฐานไว้แล้วหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเงินออม การลงทุน หรือ “หลักประกัน” ที่ช่วยค้ำยันยามไม่คาดคิด ประกันชีวิตและประกันสุขภาพจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือของพ่อแม่อีกต่อไป แต่มันคือเครื่องมือที่ทำให้เรามั่นใจได้ว่า ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร อิสระที่เราเลือกไว้ในวันนี้…ยังคงอยู่กับเราเสมอ
เพราะ Freedom ไม่ได้มาฟรี และทางเดียวที่จะทำให้อิสระนี้ยืนยาว คือการเริ่มออกแบบความมั่นคงของตัวเองตั้งแต่วันนี้
ภาพ: Aleksei Morozov/Getty Images
