แม้จะยังเร็วเกินไปที่จะเรียกว่าเป็นการกลับมาอย่างเต็มตัว แต่ในแวดวงเทคโนโลยีของจีนกำลังมีการคาดการณ์กันอย่างหนาหูว่า แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Alibaba Group ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นบุคคลที่รัฐบาลไม่ปลื้ม กำลังได้รับการฟื้นฟูสถานะในสายตาของประธานาธิบดี สีจิ้นผิง อีกครั้ง ในช่วงเวลาที่รัฐบาลปักกิ่งกำลังต้องการยักษ์ใหญ่ในประเทศมาช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชิปและปัญญาประดิษฐ์ (AI)
สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดปรากฏขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผ่านรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) ซึ่งได้เผยแพร่ภาพนายกรัฐมนตรี หลี่เฉียง (Li Qiang) เยี่ยมชมศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่ง และได้รับชมไวท์บอร์ดที่เปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างชิป AI ของ Pingtouge ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Alibaba กับชิป H20 ของ Nvidia โดยระบุว่าชิปของจีนมีประสิทธิภาพในระดับใกล้เคียงกัน
การนำเสนอข่าวในลักษณะนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญจากภาครัฐ และในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ก็ได้มีวิดีโอของ แจ็ค หม่า นั่งพูดคุยกับผู้บริหารของ Alibaba ในบาร์แห่งหนึ่งกลายเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดีย พร้อมกับแฮชแท็ก Make Alibaba Great Again ที่เริ่มได้รับความนิยม ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ทางการจีนจะมีคำสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีซื้อชิปจาก Nvidia เพียงไม่นาน
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้บ่งชี้ถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หลังจากที่ แจ็ค หม่า ได้หายหน้าไปจากสาธารณะตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 ภายหลังจากที่เขากล่าวสุนทรพจน์วิพากษ์วิจารณ์กฎระเบียบของรัฐบาลว่า “นวัตกรรมที่ดีไม่กลัวกฎระเบียบ แต่กลัวกฎระเบียบที่ล้าสมัย” ซึ่งคำพูดดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำระดับสูงเป็นอย่างมาก
สาเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้งในครั้งนั้นเชื่อกันว่ามาจากความกังวลของประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ต่อการเติบโตของ Ant Group ธุรกิจการเงินในเครือ Alibaba ซึ่งได้ปล่อยสินเชื่อรายย่อยผ่านสมาร์ทโฟนไปแล้วกว่า 2.1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 9.53 ล้านล้านบาท) โดยที่ Ant เป็นผู้ควบคุมข้อมูลสินเชื่อทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงต่อระบบการเงินของประเทศ
จุดแตกหักเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2020 เมื่อทางการจีนได้สั่งระงับการเสนอขายหุ้น IPO ของ Ant Group อย่างกะทันหัน ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นยุคแห่งการควบคุมและจัดระเบียบกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีครั้งใหญ่ หลังจากนั้น แจ็ค หม่า ก็ได้เดินทางออกจากประเทศจีนและใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งยอมสละอำนาจควบคุมใน Ant Group
แต่ในวันนี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลปักกิ่งจำเป็นต้องพึ่งพา ‘นวัตกรรม’ จากภาคเอกชนเพื่อสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้าน ‘เทคโนโลยี’ ซึ่งนำไปสู่การที่ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ได้เชิญ แจ็ค หม่า เข้าร่วมการประชุมสุดยอดของภาคธุรกิจเอกชนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
สัญญาณบวกดังกล่าวได้ช่วยฟื้น ‘ความเชื่อมั่น’ ของนักลงทุนได้อย่างมาก ราคาหุ้นของ Alibaba เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าตัวนับตั้งแต่ต้นปี และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ชื่อดังอย่าง BlueCrest Capital และ D.E. Shaw รวมถึง Ark Invest ของ เคธี วูด (Cathie Wood) ก็ได้กลับเข้ามาเพิ่มการถือครองหุ้นของบริษัทอีกครั้ง
หวังเซินเซิน นักกลยุทธ์จาก Mizuho Securities กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติมองตรงกันว่า “หากประธานาธิบดี สีจิ้นผิง สามารถใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมของภาคเอกชนได้ เขาก็อาจจะสามารถต้านทานแรงเสียดทานกับสหรัฐฯ ได้” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการกลับมามีบทบาทของ Alibaba และ แจ็ค หม่า คือกุญแจสำคัญ
ความเชื่อมั่นนี้ยังเกิดจากการที่บริษัทเทคโนโลยีของจีนอย่าง ZTE และ Huawei ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถรอดพ้นจากมาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงของสหรัฐฯ ได้ ประกอบกับการเติบโตของระบบนิเวศอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ ซึ่งนำโดยบริษัทอย่าง SMIC ที่ปัจจุบันมีมูลค่าประเมินสูงกว่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท)
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.23 บาท ณ วันที่ 26 กันยายน 2568 และ อัตราแลกเปลี่ยน 1 หยวน เท่ากับ 4.54 บาท ณ วันที่ 27 กันยายน 2568
ภาพ: REUTERS/Aly Song
อ้างอิง: