ท่ามกลางปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนัก เมื่อราคาทองคำพุ่งสู่ระดับ All-Time High พร้อมกับการที่ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้พร้อมกัน และการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยรอบล่าสุด ท่ามกลางภูมิทัศน์การลงทุนที่เปลี่ยนไปนี้ โอกาสการลงทุนอยู่ตรงไหน
เกษรี อายุตตะกะ, CFP SVP, Head of Investment Research, SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ถึงมุมมองและแผนที่การลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2025 โดยชี้ว่ามี 3 ปัจจัยหลักที่จะเป็นตัวกำหนดบรรยากาศการลงทุนทั้งหมด มีดังนี้
1. นโยบายการเงินของ Fed และตลาดแรงงานสหรัฐฯ นโยบายของ Fed ยังคงเป็นตัวชี้วัดหลักต่อทิศทางในการเปิดรับความเสี่ยง (Risk-on) ของนักลงทุน โดยการลดดอกเบี้ยรอบล่าสุดนั้น ถูกนักลงทุนตีความว่าเป็นการบริหารความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ
- กรณีฐาน (Base Case) คาดการณ์ว่า หากสัญญาณการจ้างงานของสหรัฐฯ ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จะเอื้อให้ Fed สามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งภายในปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยปิดสิ้นปีอยู่ที่ประมาณ 3.5-3.75% ซึ่งสอดคล้องกับ Dot Plot ของ Fed
- ผลกระทบเชิงบวก ตลาดแรงงานที่อ่อนแอลงนี้จะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ ในอดีตพบว่าหลังจากการหยุด (Pause) และกลับมาลดดอกเบี้ยอีกครั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้สูงถึงกว่า 20% ใน 1 ปีถัดมา
- ความเสี่ยงที่ต้องระวัง กรรมการ Fed บางคนยังมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบถัดไป เช่น ในปี 2026 ไม่ได้มากเท่าที่คาดการณ์ไว้ได้
2. การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน (China’s Structural Reform) การประชุม Five-Year Plan ที่กำลังจะมาถึงในเดือนตุลาคมนี้ จะเป็นจุดวางกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จีนมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นและปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยคาดว่าจะมีการเน้นย้ำเรื่องการตั้งเป้าให้ GDP เติบโตเป็น 2 เท่าจากปี 2020 ภายในปี 2035
- การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี จีนกำลังผลักดันกระแส AI และอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ และยกระดับเทคโนโลยีของตนเอง ตัวอย่างเช่น Alibaba ได้เพิ่มงบลงทุนด้าน AI สูงกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และระงับการสั่งซื้อชิปจาก Nvidia
- กลุ่มที่ได้รับประโยชน์ นโยบายดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อหุ้นจีน โดยเฉพาะกลุ่ม Tech AI, Semiconductor, Health Care, Insurance, และ Renewable Energy
3. การเร่งใช้จ่ายด้าน AI (Accelerating AI CapEx) กระแส AI ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ได้กระตุ้นให้เกิดการเร่งการใช้จ่ายด้าน CapEx ของบริษัทที่เกี่ยวข้อง เช่น การลงทุนใน Data Center และ Power
- ผลต่อ GDP การใช้จ่ายนี้คาดว่าจะช่วยขับเคลื่อน GDP ของสหรัฐฯ ผ่านการลงทุนที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย
- ผลต่อตลาดหุ้น ประเด็นนี้เป็นปัจจัยสนับสนุนให้หุ้นกลุ่ม AI และ Global Tech สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง
กลยุทธ์การลงทุนโอกาสในตราสารหนี้ระยะสั้นและหุ้นเติบโต
SCB CIO แนะนำให้นักลงทุนเน้นไปที่ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น และ ตราสารหนี้หุ้นกู้คุณภาพดีของสหรัฐฯ ระยะสั้น เนื่องจากเหตุผลตราสารหนี้ระยะสั้นยังคงมีคูปอง (Coupon) ที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง และมีโอกาสได้รับ Capital Gain เพิ่มเติมจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed จากข้อมูลในอดีต ตราสารหนี้สหรัฐฯ เคยให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเกือบ 7% ในช่วง 1 ปีหลังจาก Fed กลับมาลดดอกเบี้ย
ขณะที่ข้อจำกัดของตราสารหนี้ระยะยาว อาจอัพไซด์ของตราสารหนี้ระยะยาวอาจถูกจำกัด เนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับ Term Premium ที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อที่ยังคงหนืดอยู่, การขาดดุลการคลัง, และการที่นักลงทุนต่างชาติลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ลง
วิเคราะห์โอกาสการลงทุนในตลาดหุ้น
SCB CIO ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงที่เหลือของปี และเชื่อว่าตลาดหุ้นจะสามารถไปต่อได้
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนคือ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงเติบโตดี โดยไตรมาส 2 ถือเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันที่ EPS ขยายตัวในระดับมากกว่า 10% และการเติบโตเริ่มกระจายตัวในวงกว้างมากขึ้น
ทั้งนี้ SCB CIO คาดการณ์ว่า EPS Growth ของหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2024 จะอยู่ที่ประมาณ 9% และปี 2025 อยู่ที่ประมาณ 14% แม้ว่า Valuation จะตึงตัว แต่ความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่นและแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของตลาดได้
สำหรับประเด็นติดตาม การผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อเลี่ยง Government Shutdown ในวันที่ 1 ต.ค. นี้ และการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนในเดือน พ.ย. นี้
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการปฏิรูปธรรมาภิบาล ซึ่งช่วยเพิ่มการจ่ายปันผล การซื้อหุ้นคืน และความสามารถในการทำกำไร (ROE). SCB CIO มองว่า ไม่ว่าใครจะได้รับเลือกเป็นผู้นำพรรค LDP ในการเลือกตั้งวันที่ 4 ต.ค. นี้ ก็น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นทั้งคู่ SCB CIO คาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) น่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ไม่ใช่เดือน ต.ค. ปีนี้ตามที่ตลาดคาด
ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นจีน โดยได้รับแรงหนุนจากสภาพคล่องในประเทศที่สูง, การเร่งพัฒนาตลาดทุน, และ EPS ของหุ้นจีน Onshore ที่ยังเติบโตได้ ส่วนหุ้นจีน Offshore ที่เชื่อมโยงกับกลุ่ม Tech ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากความมุ่งมั่นในการลงทุนด้าน AI และ Semiconductor เพื่อการพึ่งพาตนเอง
สรุปคำแนะนำจัดพอร์ตลงทุน
- Core Portfolio เน้นการกระจายการลงทุนในตลาดหุ้น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน
- Optimistic Portfolio แนะนำดัชนีหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกตามกระแส AI, ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ คือ NASDAQ, S&P 500 และหุ้นจีน A-Share