×

คมสันต์ แซ่ลี ชี้เกมอีคอมเมิร์ซเปลี่ยน ยุค AI กลืนอินฟลูเอนเซอร์ ไทยต้อง ‘เลี้ยงปลาเอง’ ด้วยแบรนด์ – ลุย MICN นำเข้า-ส่งออก-พัฒนา 100 แบรนด์ เชื่อมห่วงโซ่ไทย-จีน พร้อมลุยสนาม ‘ร้านสะดวกซื้อ’

18.09.2025
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • อีคอมเมิร์ซเข้าสู่ ‘ยุคที่ 3’: จาก ‘ของถูกสุด’ สู่ยุค ‘ยุค KOL’ และกลายร่างเป็น  ‘ยุคแบรนด์ + AI’ ที่แทนครีเอเตอร์ซ้ำๆ ได้
  • เมื่อบ่อปลาแห้ง ต้องเลิกแค่ ‘ไปจับปลาในบ่อคนอื่น’ ต้อง ‘เลี้ยงปลาเอง’ เพื่อสร้างฐานแฟนบนแบรนด์ ไม่ใช่บนแพลตฟอร์ม
  • เปิดแผนธุรกิจ MICN 3 เสา ‘นำเข้า – ส่งออก – พัฒนาแบรนด์’ ใช้ไทยเป็นสะพานเรียนรู้และอัปเกรดซัพพลายเชน
  • แชร์เคสชาจี (ChaGee) ลงทุนไทยกว่า 1,400 ล้านบาท ตั้งโรงงาน+R&D ที่เชียงใหม่/เชียงราย เป้า 400 สาขาใน 5 ปี
  • เปิดวิสัยทัศน์ 10 ปี “ทุกอุตสาหกรรมถูกแทรกซึมด้วยเทคโนโลยี เป้าหมายคือให้ไทย “สร้างเทคโนโลยีเอง ไม่ใช่แค่ใช้”

คมสันต์ แซ่ลี ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Flash Express ระบุบนเวทีเสวนา เปิดวิสัยทัศน์ในงาน The Secret Sauce Summit 2025 ว่าภูมิทัศน์อีคอมเมิร์ซไทย – จีนกำลังเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จาก ‘ยุคที่ 2’ ที่ Influencer/KOL เป็นศูนย์กลาง สู่ ‘ยุคที่ 3’ ที่อัลกอริทึมและ AI ทำคอนเทนต์ซ้ำได้เร็วและถูก จน ‘คุณค่าของผู้ขายแบบ KOL จะลดลงเรื่อยๆ’ ผู้เล่นที่จะรอดต้อง ‘สร้างแบรนด์’ ให้ผู้บริโภคจดจำ ไม่ใช่แค่เช่าพื้นที่ในแพลตฟอร์ม

 

คมสันต์ เปรียบว่า ‘ยุคแรก’ คือการไป ‘จับปลาในบ่อที่มีคนอยู่’ (ของถูก ส่งเร็ว ยิงโฆษณาเอา ROI) ‘ยุคสอง’ คือสร้าง ‘กลุ่มปลา’ ด้วยคาแรกเตอร์ครีเอเตอร์ แต่ ‘ยุคสาม’ บ่อปลาเริ่มแห้ง ผู้เล่นต้อง ‘เลี้ยงปลาเอง’ ด้วยการสร้างฐานแฟนบนทรัพย์สินของตัวเอง (แบรนด์, ดาต้า, ช่องทาง) ไม่ขึ้นกับอัลกอริทึม

 

จากภาพใหญ่นี้ คมสันต์เปิดแผนบริษัทใหม่ MICN ทำ 3 เสาหลัก:

 

1. นำเข้าแบรนด์ต่างชาติคุณภาพสูงเข้ามาลงหลักปักฐานในไทยเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี/โมเดล

2. ส่งออกแบรนด์และ IP ของไทยเจาะตลาดจีน

3. พัฒนาแบรนด์ใหม่ๆ ขึ้นเอง

 

โดยตั้งเป้านำเข้า ‘100 แบรนด์’ ซึ่งคมสันต์ยอมรับความเสี่ยงที่แบรนด์ส่วนใหญ่อาจจะล่ม หรือล้มหายตายจากไปได้ แต่ก็ทำให้ได้เรียนรู้และได้บทเรียนแห่งความล้มเหลว เพื่อกลับมาแตกหน่วยธุรกิจไทยต่ออีกนับพันบริษัทในระยะยาว

 

 

เปิดกรณีศึกษา ‘ชาจี’ และธุรกิจ IP

 

กรณีศึกษา ชาจี (ChaGee) แบรนด์ชาจากจีน (ที่คมสันต์ย้ำว่าเป็นผู้นำในตลาดบ้านเกิด) เตรียมลงทุนในไทยราว 1,400 ล้านบาท ภายใต้โมเดลบริษัทแม่ลงทุนเอง ไม่ทำแฟรนไชส์ พร้อมตั้ง R&D/โรงงานในไทย โดยเฉพาะเชียงใหม่ – เชียงราย เพื่อยกระดับใบชาไทย เชื่อมตลาดส่งออก และตั้งเป้า 400 สาขาใน 5 ปี

 

ขณะเดียวกัน จะใช้ช่องทางการค้าและเทคโนโลยีของพาร์ตเนอร์จีน พาธุรกิจ IP (ลิขสิทธิ์) ไทยออกนอก เช่น ธุรกิจการ์ดสะสม/ลิขสิทธิ์ ที่มีฐานผู้บริโภคเฉพาะทางแต่เติบโตสูง

 

ในมุมการแข่งขัน คมสันต์ย้ำว่า เขายึดถือในกติกาอธิปไตยธุรกิจ คือดีลที่นำต่างชาติเข้ามานั้น เขาจะต้องถือหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 51% เพื่อให้เกิดการร่วมพัฒนา และป้องกันไม่ให้ทุนต่างชาติมาตักตวงผลประโยชน์แล้วจากไป

 

 

เตรียมลุยสนาม ‘ร้านสะดวกซื้อ’

 

พร้อมชี้ว่า ตลาดค้าปลีกสมัยใหม่และร้านสะดวกซื้อ ‘ต้องเปลี่ยนอีกหลายอย่าง’ ผู้บริโภควันนี้ต้องการตัวเลือกใหม่ โมเดลเดิมที่ต้นทุนการกระจายสูงทำให้ “เงิน 10 บาท ผู้บริโภคได้ของจริงไม่ถึง 25%” จึงเห็นช่องให้ผู้เล่นใหม่เข้ามาออกแบบซัพพลายเชนที่คุ้มค่ากว่า

 

ต่อคำถามที่ว่า SME/แบรนด์เล็กจะชนะได้อย่างไร? คมสันต์ระบุว่า เขายึดหลักคิด ‘Small but Beautiful’ คือการโฟกัสกลุ่มนิชที่เซ็กซี่พอ แล้วค่อยขยายออกไปใช้โรงงาน OEM แทนการลงทุนหนักตั้งแต่วันแรก ใช้กลยุทธ์ ‘ทดลองกว้าง – คัดลึก’ (นำเข้า 300 – 400 SKU ยิงเข้าสนามจริง ดูอัตราซื้อซ้ำก่อนสเกล) และ ‘ยกระดับวัตถุดิบไทยด้วยการแปรรูป’ ไม่ส่งออกดิบๆ อีกต่อไป

 

คมสันต์ ทิ้งท้ายว่าอีก 10 ปีข้างหน้าทุกอุตสาหกรรมจะถูกเทคโนโลยีแทรกซึม ผู้ประกอบการไทยต้อง ‘แปลงร่างเป็นปีศาจ’ ในความหมายคือ “ไม่ยอมแพ้ – เปลี่ยนตัวเองจริงจัง” พร้อมเรียนรู้จากจีนแบบพาร์ตเนอร์ ไม่ใช่คู่แข่งอย่างเดียว

 

เป้าหมายสุดท้ายของคมสันต์คือ “ให้ไทยสร้างเทคโนโลยีเอง และยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยทั้งระบบ”

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising