×

‘Thai Boom!’ วิทยา เลาหกุล แข้งไทยคนแรกที่ฝากรอยเท้าในบุนเดสลีกา

24.08.2025
  • LOADING...
วิทยา เลาหกุล

“ผมเพิ่งเคยเห็นเนี่ยแหละครับ หายากนะ เมื่อก่อนอัดไว้เยอะแต่หายไปหมดแล้ว”

 

ภาพความทรงจำที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในกล่องมหาสมบัติที่ไหนสักแห่งที่เคยคิดว่าจะไม่มีวันได้กลับมาพบอีกแล้วได้กลับมาหาเจ้าของมันอีกครั้ง

 

ชายผู้สร้างตำนาน “ไทยบูม” (Thai Boom) นักฟุตบอลจากแดนสยามคนแรกที่ลงแข่งขันในศึกลูกหนังบุนเดสลีกาเยอรมัน ที่เป็นเรื่องเล่าที่ใครติดตามฟุตบอลไทยมาสักระยะหนึ่งจะเคยได้ยินถึงเรื่องราวของวิทยา เลาหกุล และการผจญภัยที่สุดแสนจะเหลือเชื่อ

 

ทุกอย่างเกิดขึ้นในวันหนึ่งของปี 1979 หรือ พ.ศ. 2522

 

วันเฮงของคนชื่อเฮงที่ไม่ได้มาด้วยความเฮง

 

วิทยา เลาหกุล

 

วันนั้นทีมชาติไทยลงแข่งขันอุ่นเครื่องกับทีมฟอร์ทูนา โคโลญจน์ สโมสรฟุตบอลจากเยอรมนีตะวันตก โดยเป็นโอกาสสำคัญของนักฟุตบอลจากแดนไกลที่จะได้มาลองวัดฝีเท้ากับสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศที่ถือว่าเก่งที่สุดชาติหนึ่งของยุโรป

 

ไม่เก่งอย่างไรไหว นี่คือชาติเจ้าของแชมป์ฟุตบอลโลก 1974 ที่มีนักฟุตบอลผู้กร้าวแกร่งมากมาย ที่นำมาโดย “แดร์ ไกเซอร์” ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ และ “แดร์ บอมเบอร์” แกร์ด มุลเลอร์ ว่ากันว่าเกมลีกบุนเดสลีกานั้นเป็นหนึ่งในลีกที่แข็งแกร่งที่สุด

 

แต่ในวันนั้นนักฟุตบอลไทยคนหนึ่งสามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่น เล่นได้อย่างเป็นสง่าตลอดทั้งเกม

 

วิทยา เลาหกุล เจ้าของสมญาลูกหนัง “ฮาล์ฟอังกฤษ” ที่มีผู้คนตั้งให้ ทำผลงานในสนามได้อย่างน่าประทับใจมากกว่าใครอื่น 

 

ความจริงเรื่องนี้ก็ไม่ถึงกับน่าแปลกใจนักเพราะในเวลานั้นเขาเพิ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนฟุตบอลญี่ปุ่นมาหมาดๆ

 

 

ชายหนุ่มจากเมืองลำพูน ผู้ที่คลั่งไคล้ในเกมลูกหนังขั้นสุดมาตั้งแต่เด็ก ประสบความสำเร็จไม่เบาให้กับทีมยันมาร์ ดีเซล (ซึ่งในเวลาต่อมาคือสโมสรเซเรโซ โอซากา ในปัจจุบัน) และเป็นเพื่อนร่วมทีมกับตำนานวีรบุรุษลูกหนังของแดนอาทิตย์อุทัยคนแรกอย่าง คุนิชิเกะ คามาโมโตะ

 

คานาโมโตะ นั้นเป็นซามูไรลูกหนังนามกระฉ่อนที่โลกของฟุตบอลให้การยอมรับอย่างสูง จากผลงานในเกมระดับทีมชาติที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะในศึกฟุตบอลโอลิมปิก 1968 ที่สามารถพาทีมชาติญี่ปุ่น ที่แทบไม่มีใครใส่ใจทะลุถึงการคว้าอันดับที่ 3 ได้เหรียญทองแดงมาครอบครอง และส่วนตัวก็ได้รางวัลดาวซัลโวประจำการแข่งขันด้วย

 

ชื่อของ “คามะ” (หรือกามะในสำเนียงชาวตะวันตก) เป็นที่ระบือลั่น แม้ว่าตัวเขาจะไม่เคยมีโอกาสได้ไปค้าแข้งยังต่างแดนเลยสักครั้งก็ตาม ด้วยค่านิยม “จงรักภักดี” แบบชาวญี่ปุ่นที่จะภักดีอยู่กับที่ทำงานเดิมไปตลอดชีวิต ซึ่งทำให้ปฏิเสธข้อเสนอทุกครั้ง โดยเฉพาะข้อเสนอครั้งสำคัญจาก เด็ทมาร์ คราเมอร์ ปรมาจารย์ลูกหนังชาวเยอรมันตะวันตก ที่ชักชวนให้ไปเล่นในยุโรป

 

ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้รับการยอมรับจากสุดยอดนักเตะระดับโลก แม้กระทั่ง เปเล ราชาลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่ยังเดินทางมาเพื่อลงเล่นในเกมนัดอำลาให้

 

ที่เอ่ยถึงคามาโมโตะมาขนาดนี้ ก็เพราะอยากให้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของซามูไรลูกหนังคนนี้ก่อนเป็นอย่างแรก

 

เพราะอย่างต่อมาที่อยากให้รู้คือ ซามูไรลูกหนังคนนี้ทึ่งกับฟอร์มการเล่นของเด็กหนุ่มคนลำพูนในเกมฟุตบอลรายการเมอร์เดกา คัพ ซึ่งทีมชาติญี่ปุ่นเสมอกับทีมชาติไทย 2-2 โดยในเกมนั้นวิทยาทำได้ 2 ประตูจากการยิงลูกฟรีคิกทั้ง 2 ลูก

 

“นายอยากมาลองเล่นในญี่ปุ่นดูไหม?”

 

วิทยา เลาหกุล

 

ด้วยความฝันที่อยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพมาตั้งแต่เด็ก อยากจะลงเล่นในสนามที่มีแฟนฟุตบอลเรือนหมื่น และอยากจะเห็นว่าโลกนั้นกว้างแค่ไหน วิทยาตอบรับคำเชิญและย้ายจากสโมสรราชประชาฯ เก็บข้าวของไปอยู่โอซากา ในปี พ.ศ. 2520

 

ไปแบบข้ามาคนเดียว

 

แต่เขาได้หัวใจชาวญี่ปุ่นกลับมามากมาย

 

วิทยา ไม่ทำให้คามาโมโตะเสียชื่อที่อุตส่าห์ชวนมา เพราะใช้เวลาไม่นานก็สามารถแจ้งเกิดเป็นดาวเด่นของทีมยันมาร์ได้สำเร็จ โดยมีความทรงจำดีๆ มากมายรวมถึงการทำประตูในเกมเอ็มเพอเรอร์สคัพ รอบรองชนะเลิศ ที่ช่วยให้ทีมเอาชนะฟุรุกาวาได้ 2-1 ซึ่งมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ

 

จากนั้นในฤดูกาลที่ 2 เขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นไปอีกถึงขั้นได้รับการเลือกให้ติด 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีเลยทีเดียว

 

ผลงานนั้นดีพอที่จะทำให้ยันมาร์รีบร้อนเสนอสัญญาฉบับใหม่ที่มีระยะเวลายาวถึง 5 ปีให้กับ “เฮงซัง” ของแฟนๆ (ความจริงแล้วชื่อ “เฮง” สมญาที่ได้มาจากการตั้งของรุ่นพี่ในทีมชาติไทยอย่าง สุชิน กสิวัตร ที่บอกว่าเขาโชคดีที่ได้โอกาสติดทีมชาติไทย ซึ่งการได้โอกาสไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับนักฟุตบอลสมัยนั้น)

 

แต่ฟุตบอลญี่ปุ่นไม่สามารถเติมเต็มความฝันให้กับเขาได้

 

ญี่ปุ่นในเวลานั้นเกมฟุตบอลยังไม่เป็นที่นิยมเหมือนในปัจจุบัน ลีกการแข่งขันยังเป็นลีกระดับกึ่งอาชีพ มีคนดูในสนามแค่หลักร้อยหลักพัน และมันทำให้หัวใจของเขาไม่เคยอิ่ม 

 

วิทยาตัดสินใจปฏิเสธข้อเสนอนั้นและเดินทางกลับมาประเทศไทย แม้ว่าจะรู้สึกผิดหวังกับตัวเองเล็กๆก็ตาม แต่ก็ยังคงเก็บความฝันที่อยากจะลงเล่นในเกมฟุตบอลอาชีพท่ามกลางผู้คนมากมายเอาไว้ในหัวใจเสมอ

 

โดยไม่ทันคิดว่าโอกาสจะมาถึงอย่างไม่คาดฝัน

 

 

จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในเรื่องนี้คือโค้ชลูกหนังชาวเยอรมันผู้ไปช่วยวางรากฐานให้แก่วงการฟุตบอลญี่ปุ่นและเคยคิดที่จะมาช่วยวางรากฐานให้แก่วงการฟุตบอลไทยด้วยเช่นกัน

 

ถึงแม้ว่าเดตมาร์ คราเมอร์ ซึ่งรักและเอ็นดูคานาโมโตะเหมือนลูกศิษย์ จะไม่ได้เข้ามาทำในสิ่งเขาตั้งใจบนแผ่นดินสยามได้สำเร็จ แต่อย่างน้อยเขามีส่วนในการส่งจดหมายเปิดทางให้ทีมชาติไทยที่มีวิทยา มิตรลูกหนังของ “คามะ”​ ได้เดินทางไปเก็บตัวที่เยอรมนีตะวันตกในเวลานั้น โดยทีมชาติไทยจะได้อุ่นเครื่องกับสโมสร ฟอร์ทูนา โคโลญจน์ และสโมสรเอสปันญอล บาร์เซโลนา จากแคว้นคาตาลัน

 

โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่ามันจะเป็นการเปิดประตูบานใหญ่ให้แก่นักฟุตบอลไทยคนหนึ่ง

 

กับฉากที่เหมือนในภาพยนตร์สักเรื่อง

 

หลังเกมกับฟอร์ทูนาจบลง แมวมองลูกหนังคนหนึ่งเดินปรี่เข้ามาหาวิทยา ในมือของเขาถือผ้าพันคอของสโมสรฟุตบอลแห่งหนึ่งมาด้วยรวมถึงสูจิบัตรของสโมสร ก่อนจะรีบยัดใส่มือของนักเตะจากแดนไกล

 

“นายสนใจอยากจะมาเล่นกับแฮร์ธา เบอร์ลินไหม?”

 

ตามความเชื่อของคนไทยแล้ว เมื่อถึงวัย “เบญจเพส” ชีวิตจะประสบกับโชคชะตาไม่ดี แต่สำหรับวิทยาที่อายุ 25 ปีในตอนนั้น มันคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ที่ทำให้เขาตอบกลับแบบไม่ทันต้องคิดอะไรเลย

 

“ไปสิ” 

 

โดยที่เขาแทบไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับสโมสรฟุตบอล หรือบ้านเมืองที่จะไปในเวลานั้นเลยด้วยซ้ำ

 

ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นเยอรมนียังแบ่งออกเป็น 2 ประเทศด้วยกันคือเยอรมนีตะวันออก และเยอรมนีตะวันตก โดยที่เมืองหลวงอย่างเบอร์ลินนั้นยังถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน ตามสนธิสัญญาที่เกิดขึ้นหลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่แบ่งการปกครองในเบอร์ลินให้เป็นของอังกฤษ, ฝรั่งเศส, สหรัฐอเมริกา และเยอรมนีตะวันออก โดยมีกำแพงเบอร์ลินขวางกั้นเอาไว้ตั้งแต่ปี 1964

 

วิทยาเคยมีโอกาสมาเยอรมนีแล้วครั้งหนึ่งแต่เป็นการเดินทางไปในฝั่งตะวันตกในเมืองที่ใกล้กับแฟรงค์เฟิร์ต ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ แต่การต้องเดินทางมาเบอร์ลินนั้นยากลำบากกว่าที่คิดอย่างมาก เอาแค่นั่งเครื่องบินจากไทยมาถึงเยอรมนีตะวันตกแล้วต้องนั่งรถต่อไปยังฝั่งตะวันออก ซึ่งรถขับได้อย่างช้าๆ โดยที่สองข้างทางไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากทุ่งข้าวบาร์เลย์

 

เมื่อข้ามไปแล้วเขาต้องไปพักอาศัยในบ้านพักฝั่งที่อยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเบอร์ลิน 

 

อย่าเพิ่งพูดถึงการลงสนามเลย แค่การใช้ชีวิตในแต่ละวันก็เป็นไปอย่างยากลำบากแล้ว ในบ้านเมืองที่ไม่คุ้นเคย อาหารการกิน วัฒนธรรม ภาษา แม้แต่การเดินทางก็ไม่มีรถรา วิทยามีแค่จักรยานสองล้อเท่านั้นที่เป็นเพื่อนคู่ใจพอจะช่วยให้เขาไม่ถึงกับต้องเดินไปสนามเพื่อฝึกซ้อม

 

ถึงจะเคยผ่านชีวิตลำพังในญี่ปุ่นมา 2 ปี แต่นี่เป็นอีกระดับของความท้าทายเลยทีเดียว

 

วิทยา เลาหกุล

 

ในชีวิตการเป็นนักฟุตบอลอาชีพนั้น นอกเหนือจากการดูแลรักษาสภาพร่างกายตัวเอง การตั้งใจฝึกซ้อม การตั้งใจลงสนามแล้ว สิ่งที่วิทยาไม่เคยพบเจอไม่ว่าจะเป็นการเล่นในไทยหรือญี่ปุ่นคือการไม่ให้การยอมรับจากเพื่อนร่วมทีม

 

ที่จริงอย่าเรียกว่าการยอมรับเลย เรียกว่าโดนเหยียดเลยดีกว่า

 

นั่นอาจเป็นเพราะเขาเป็นนักฟุตบอลจากประเทศไทย ที่ไม่เคยปรากฏตัวบนแผนที่ลูกหนังที่ไหนมาก่อน จู่ๆ ได้เซ็นสัญญามาเป็นนักฟุตบอลในสโมสรฟุตบอลอาชีพระดับบุนเดสลีกา คนที่อยู่มาก่อนซึ่งเกือบทั้งหมดคือชาวด็อยช์ลันด์ยากที่จะยอมรับได้ง่ายๆ

 

การแสดงออกให้เห็นถึงความรังเกียจมีหลายระดับด้วยกัน ตั้งแต่การไม่ยอมส่งบอลให้ เพราะคิดเอาเองว่าเดี๋ยวส่งไปก็เสีย ต้องมาไล่บอลกันอีก ไปจนถึงการไล่เตะในสนามซ้อม หรือการถ่มน้ำลายใส่ที่ถือเป็นการดูถูกกันอย่างรุนแรง

 

แต่มันไม่ได้ทำให้คนบ้าบอลอย่างวิทยาย่อท้อ หัวใจเขาแกร่งเกินพอสำหรับการรับมือกับสิ่งเหล่านี้

 

สุดท้ายไม้ตายก็คือความตั้งใจจริง และฝีเท้าของเขาก็เป็นของจริงด้วยเช่นกัน

 

จากการเริ่มต้นในระดับทีมสำรอง วิทยาใช้เวลาไม่ถึงเดือนก็ได้ขยับมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ ก่อนที่โค้ชของทีมอย่าง คูโน คล็อตเซอร์ จะใส่ชื่อเขาไว้บนม้านั่งสำรองในเกมที่แฮร์ธา เบอร์ลิน พบกับฟอร์ทูนา ดึสเซลดอร์ฟ

 

แล้วในช่วงท้ายเกมนั้นเสียงของโค้ชก็ดังขึ้น

 

“วิทยา เตรียมลงสนาม”

 

ถึงจะเคยวาดฝันว่าอยากจะลงเล่นในเกมฟุตบอลอังกฤษ ด้วยความที่เมืองไทยจะมีแค่เรื่องราวของเกมฟุตบอลจากเมืองผู้ดีให้เสพเพียงอย่างเดียว แต่การได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ การได้มาถึงแผ่นดินยุโรป และการได้ลงสนามท่ามกลางแฟนฟุตบอลเรือนหมื่น

 

มันคือสิ่งที่เขาฝันไว้ และวันนี้เขาทำได้สำเร็จแล้ว

 

“เออ เราก็ทำได้แฮะ”

 

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วิทยาได้รับสมญาจากสื่อลูกหนังสัญชาติเยอรมันว่า “ไทยบูม” ด้วยความที่วิทยาแม้จะเป็นนักฟุตบอลจากเอเชีย แต่มีรูปร่างที่ดี มีพละกำลังที่แข็งแกร่ง มีความเร็ว และมีเท้าซ้ายฉมังเดช ยิงหนัก แน่น และแม่นยำ

 

จากคนที่โดนเหยียดตลอดเวลา บางทีเล่นกันหนักข้อในทีมถึงขั้นวางมวย และแฟนฟุตบอลที่ตะโกนเหยียดผิว “ไชนีสๆ” (แต่ขอโทษนี่เด็กลำพูนเว้ย) วิทยาได้รับการยอมรับจากทั้งเพื่อนร่วมทีมที่กลายเป็นเพื่อนรัก และเขาก็กลายเป็นที่ยอมรับของแฟนฟุตบอลมากขึ้น แม้ว่าในช่วงฤดูกาลแรกโอกาสจะไม่ได้มากมายนักก็ตาม และทีมก็ผลงานไม่ดีนักต้องกระเด็นตกชั้นก็ตาม

 

 

แต่มันกลายเป็นโอกาสของเขาเองที่จะได้แจ้งเกิดเต็มตัวในฤดูกาลที่ 2 ในระดับลีกาสอง โดยผนึกกำลังกับ 2 นักเตะเอเชียที่ความจริงแล้วเดินทางมาค้าแข้งในเยอรมนีก่อนเขา อย่างชา บอม-กึน ที่ต่อมาเป็นตำนานทีมชาติเกาหลีใต้ และยาสุฮิโกะ โอคุเดระ นักฟุตบอลญี่ปุ่นคนแรกที่เดินทางมาค้าแข้งในยุโรป (ขณะที่คามาโมโตะเลือกจะอยู่ในประเทศ) ซึ่งทั้ง 3 คนต่างรู้จักกันมาก่อนแล้วจากการที่เคยประเพลงแข้งกันมาในระดับทีมชาติ

 

และสิ่งที่ทั้ง 3 คนในฐานะนักเตะเอเชียรู้คือ ไม่ว่าพวกเขาจะทำได้ดีขนาดไหน ชีวิตในเยอรมนีไม่มีวันเป็นเรื่องง่าย ต่อให้มีคนยอมรับมากขึ้น ก็ยังมีคนที่ไม่มีวันจะยอมรับพวกเขาอยู่เหมือนเดิม

 

เพิ่มเติมคือพออยู่มาสักพักหูมันเริ่มกระดิก ชักฟังออกและรู้ว่าไอ้เสียงที่ตะโกนมาจากข้างสนามนั้นมันไม่ได้ให้กำลังใจทั้งหมด คนด่าก็เยอะ และด่าหนักด้วย

 

“ไทยบูม” เริ่มบูมจริงในฤดูกาลที่ 2 ซึ่งเขาไม่ได้เพียงแค่ลงสนามมากขึ้นรวม 19 นัด แต่ยังทำประตูได้ในเกมลีก 1 ลูกและเกมเดเอฟเบ-โพคาลอีก 2 ลูกด้วยกัน 

 

“ผมเคยลงไปเจอกับพวกดังๆ เยอะนะสมัยเล่นในบุนเดสลีกา พวก คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้, พอล ไบรท์เนอร์, ฮันซี มึลเลอร์ เจอมาแล้ว” วิทยาเคยเล่าไว้ให้นิตยสาร FourFourTwo ฉบับภาษาไทยเมื่อหลายปีก่อน “แต่คนที่เก่งที่สุดจริงๆ ตอนนั้นคือ (ปิแอร์) ลิตต์บาร์สกี ที่ตอนนั้นกำลังโด่งดังมาก เขาหลบได้ทีละ 5-6 คนสบายๆ ใครก็เอาไม่อยู่”

 

แต่แววชีวิตบัดซบก็เริ่มมาถึงในเวลาต่อมาด้วยอคติของโค้ชคนใหม่ จอร์จ กาวซิเล็ค ที่เกลียดคนไทยยิ่งกว่าสิ่งปฏิกูลเพียงเพราะมีเพื่อนเคยถูกขโมยของตอนที่มาเมืองไทย

 

วิทยายังจดจำความเกลียดชังในวันนั้นได้ดี เขาถูกดองข้างสนามไม่ได้โอกาสในการลงเล่น บ้างสั่งให้ออกไปวิ่งอบอุ่นร่างกายด้านนอกแทนที่จะให้อบอุ่นร่างกายในห้องแต่งตัวท่ามกลางสภาพอากาศในฤดูหนาวที่โหดร้าย 

 

“ผมเขียนชื่อมันใส่ไว้ในรองเท้าของผมเลย” เป็นวิธีการแก้แค้นเล็กๆที่เขาพอจะทำได้ในเวลานั้น

 

จนกระทั่งจบฤดูกาล วิทยาได้รับคำแนะนำจากโค้ชประตูของแฮร์ธา เบอร์ลิน ที่รู้เห็นเหตุการณ์และคิดว่าเขาควรจะย้ายออกจากทีมเสียดีกว่า

 

โค้ชคนดังกล่าวคือ เนโร ดิ มาร์ติโน ซึ่งเป็นเพื่อนของบรูโน เปซาโอลา โค้ชใหญ่ของสโมสรฟุตบอลนาโปลีในอิตาลี ที่แนะนำให้ลองไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งที่นั่น ด้วยเชื่อว่ามันน่าจะดีกว่าสำหรับนักเตะจากไทย โดยพยายามเล่าให้ฟังว่านาโปลีอยู่ตรงไหนของยุโรป

 

แต่ด้วยความไม่รู้ วิทยาคิดแค่ว่าเขาเริ่มปรับตัวกับชีวิตในเยอรมันได้บ้างแล้วจึงไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ก่อนที่จะย้ายไปซาร์บรุคเคน สโมสรในระดับโอเบอร์ลีก (ดิวิชั่น 3) ซึ่งนายเก่าอย่าง อูเว คลีมันน์ ย้ายไปคุมทีมพอดี

 

โดยที่หลังจากนั้นไม่นานนาโปลีคว้าตัวสตาร์ชาวอาร์เจนตินามาร่วมทีม 2 คน คนแรกคือรามอน ดิอาซ ศูนย์หน้าดาวเด่นระดับประเทศ

 

และอีกคนที่ย้ายตามมาในอีก 2 ปีให้หลังคือ ดิเอโก มาราโดนา ความมหัศจรรย์ของเกมลูกหนังที่ระบือลั่นไปทั้งโลก

 

เรียกว่าเจ้าเฮงเกือบมีโอกาสได้อยู่ทีมเดียวกับเทพเจ้าลูกหนังอยู่แล้วเชียว! เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของชีวิต เพียงแต่นาทีนั้นเขาแค่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วนาโปลี อยู่ในเมืองเนเปิลส์ของอิตาลี ที่มีสภาพอากาศอบอุ่นกว่าที่เบอร์ลิน

 

แต่นั่นแหละชีวิตของเขาไม่เคยใช้โชคนำทาง หรือต่อให้มีโชคผสมบ้าง แต่พื้นฐานของมันคือความพยายามและการไม่ยอมแพ้

 

จากเด็กบ้านนอกในชนบทของไทย ที่เตะฟุตบอลเอาเป็นเอาตายทั้งวันทั้งคืน ผ่านบททดสอบของชีวิตมานับไม่ถ้วน สู่การเล่นในฟุตบอลอาชีพลีกสูงสุดของเยอรมัน แค่นี้ก็นับว่าไกลเกินฝันแล้ว

 

และอย่างน้อยชีวิตที่ซาร์บรุคเคิน ซึ่งอยู่ในเขตเยอรมันตะวันตก ใกล้กับฝรั่งเศสก็ดีกว่าชีวิตในเบอร์ลินมาก ด้วยความเป็นเมืองชนบทเล็กๆ สวยงาม มีกลิ่นขนมปังอบสดใหม่ในยามเช้า

 

ชีวิตลูกหนังที่นั่นก็ยิ่งดี ผลงานของเขาโดดเด่นด้วยความที่ระดับรองลงมาเล่นง่ายขึ้น แต่บรรยากาศความเข้มข้นของกองเชียร์ไม่แพ้ลีกที่สูงกว่า ทำให้ไทยบูมมีความสุขกับชีวิตที่นั่นอย่างมาก

 

แต่จุดพลิกผันเกิดขึ้นในช่วงที่ดีที่สุดของชีวิตการเล่น วิทยาซึ่งกำลังเป็นสตาร์ที่น่าจับตามองในเวลานั้น สำเร็จการศึกษาวิชาลูกหนังในระดับเอ-ไลเซนส์หมาดๆ

 

ด้วยความร้อนวิชาอยากจะกลับมาช่วยพัฒนาบ้านเกิดทำให้เขาตัดสินใจเก็บกระเป๋ากลับบ้านทันที ทิ้งทุกอย่างที่เยอรมันเอาไว้ข้างหลัง ไม่สนแม้แต่เงินโบนัสที่สโมสรต้องจ่ายให้ด้วย

 

เป็นการปิดฉากตำนาน “ไทยบูม” ในเยอรมันไว้ตรงนั้น ก่อนที่จะกลับมาพบกับความจริงว่าฟุตบอลไทยยังไม่มีอะไรที่พร้อมเลย (ปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง) และเขาได้ทิ้งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเป็นนักฟุตบอลไปทั้งๆ ที่น่าจะยังเล่นได้อีก 2 ปีเป็นอย่างน้อย

 

เวลาผ่านมาร่วม 40 ปีแล้ว วิทยามีโอกาสได้กลับมาดูภาพทรงจำเวลานั้นอีกครั้ง

 

“มันเหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง”

 

แววตาของ “เฮง” ที่ปัจจุบันอาจจะไม่ใช่แค่พี่เฮง น้าเฮง หรือลุงเฮง แต่เป็นปู่เฮง ของลูกหลานลูกหนังไทยกลับมามีประกายอีกครั้ง รอยยิ้มของเขาทำให้แฟนฟุตบอลชาวไทยมีความสุขตามไปด้วย

 

“ดีใจที่ได้เห็นภาพเก่าๆ ดีใจที่ได้เห็นเพื่อนๆ” เขาบอก 

 

“เราไปเล่นจริงๆ” 

 

ใช่ มันคือเรื่องจริง นักฟุตบอลไทยในบุนเดสลีกา เยอรมัน เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว 🙂

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising