ซีอีโอของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เผยปรับลดราคาขายรถ EV เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเหมาะสมกับภาวะตลาดในไทย
ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ปรับลดราคาขายรถไฟฟ้า (EV) อย่างรุ่น Mercedes-Benz EQE 300 ได้ปรับลดลงมาเหลือ 2.89 ล้านบาท จากราคาเดิมที่ 3.97 ล้านบาท
มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หลังจากปรับราคาขายดังกล่าวเริ่มเห็นยอดจองเพิ่มขึ้น โดย 30 วันที่ผ่านมา มียอดจอง 220 คัน
นอกจากการปรับกลยุทธ์เรื่องของราคาแล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ปรับกลยุทธ์ในเรื่องของแบรนด์ด้วย จากเดิมที่ใช้ซับแบรนด์ Mercedes-EQ จะถูกเปลี่ยนมาอยู่ภายใต้แบรนด์ Mercedes-Benz ทั้งหมด โดยรถยนต์ทุกรุ่นที่เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% จะใช้ชื่อรุ่นตามด้วย ‘with EQ Technology’ ส่วนรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด
จะตามด้วย ‘with EQ Hybrid Technology’
มาร์ทินกล่าวต่อว่า หลังจากเริ่มบุกตลาดรถ EV ในไทยตั้งแต่ปี 2564 ความท้าทายอย่างหนึ่งที่พบคือ การรับรู้ (Perception) ของลูกค้าต่อรถ EV ซึ่งค่อนข้างต่างจากในยุโรปที่ลูกค้ามองว่ารถ EV มีราคาสูงกว่ารถยนต์สันดาปภายใน (ICE) แต่ในเอเชียลูกค้าจะมองว่าราคารถ EV ถูกกว่า
“เป็นการเรียนรู้หลังจากที่เราไม่เคยทำตลาดรถไฟฟ้ามาก่อน เดิมทีเรามองว่ารถ EV ที่มีต้นทุนเทคโนโลยีสูงกว่า ควรจะบุกตลาดด้วยรุ่นแฟล็กชิปที่มีราคาสูง ทำให้เราต้องปรับราคาเพื่อให้ตรงกับสภาพการแข่งขันในตลาด”
มาร์ทินกล่าวต่อว่า ในบรรดาท็อป 25 แบรนด์ผู้ผลิตและจำหน่ายรถในไทย มีสัดส่วนรถ EV ราว 30% และในจำนวนนี้มี 70% ที่ราคาขายต่ำกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่ภาวะตลาดในปัจจุบันต้องยอมรับว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่ได้ฟื้นกลับมาเต็มที่
ความท้าทายที่เกิดขึ้นคือการชะลอตัวของอุตสาหกรรมโดยรวม เมื่อปี 2567 ยอดขายรถทั้ง EV และ ICE ของกลุ่มท็อป 25 แบรนด์ ลดลง 24% ส่วนปีนี้คาดว่าจะเริ่มทรงตัวได้
อย่างไรก็ดี มาร์ทินเชื่อว่าจะเห็นการเติบโตของรถ EV ในระยะยาว ซึ่งในไทยเชื่อว่าจะเห็นตัวเลข 100,000 คันต่อปี ตามเป้าหมายของรัฐบาล แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะฟื้นกลับมาเมื่อไร หลังจากปีก่อนมียอดขายรถ EV รวมประมาณ 70,000 คัน