หัวข้อในเนื้อหานี้
วันนี้ (1 สิงหาคม) องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัยในคดีที่ ภัณฑิล น่วมเจิม สส. กทม. พรรคประชาชน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 และร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2569 มีการเสนอแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด มีผลให้ สส. สว. หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสองหรือไม่
ตามคำร้องอ้างถึง พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และ สส. เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้ถูกร้อง เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและมีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 โครงการ คือ โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน, โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และโครงการส่งเสริมบทบาทสตรีทางการเมือง ที่พิเชษฐ์มีส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณปี 2568 และกรณีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการในปีงบประมาณ 2569 เป็นการเสนองบประมาณด้วยโครงการที่มีรูปแบบเดียวกันและต่อเนื่อง ที่พิเชษฐ์มีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำใดๆ
บทความที่เกี่ยวข้อง:
ข้อเท็จจริงบ่งชี้ พิเชษฐ์ลงนามเสนองบ-แปรญัตติ
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ขอถอนโครงการทั้ง 3 และเลขาสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขอจะปรับลดงบประมาณโครงการทั้ง 3 ลงเหลือ 0 บาท แม้ว่าโครงการทั้ง 3 อาจเป็นมูลเหตุ หากคดีนี้สิ้นผลไปแล้วก็ตาม แต่ไม่มีผลทำให้การกระทำของผู้ถูกร้องอันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วถูกลบล้างไปและไม่มีผลต่อการพิจารณาต่อศาลรัฐธรรมนูญที่ต้องพิจารณาว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสองหรือไม่
ประกอบกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรค 3 บัญญัติให้การกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรค 2 เป็นอันชี้ผลแล้ว แล้วบัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้กระทำการดังกล่าวสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยและให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง กรณีจึงมีเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยต่อไป
ประเด็นแรก ศาลพิจารณาว่าผู้ถูกร้องเป็นผู้สั่งการ ให้เสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณหรือคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของโครงการทั้ง 3 หรือไม่ ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าในการเสนองบประมาณได้มอบหมายให้ จีระพงษ์ วัฒนรัตน์ ที่ปรึกษาคณะทำงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ดำเนินการจัดทำโครงการและผู้ถูกร้องลงนามให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการทั้ง 3 และเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติปรับลดงบประมาณ ผู้ถูกร้องลงนามหนังสือให้แปรญัตติ
ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า ผู้ถูกร้องไม่เคยสั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดทำโครงการเพื่อเสนองบประมาณหรือแปรญัตติงบประมาณ ผู้ถูกร้องเพียงแค่มอบนโยบายให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรอีกทั้งผู้ถูกร้องลงนามในบันทึกข้อความแต่ไม่ได้เขียนข้อความว่าให้เสนอคำแปรญัตติ และไม่ได้ประทับตราคำว่าเห็นชอบ แต่เป็นบุคคลอื่นเขียนข้อความและประทับตราดังกล่าว
พยานบุคคล จีรพงษ์ วัฒนรัตน์ เบิกความยอมรับว่าผู้ถูกร้องมีดำริให้ดำเนินโครงการทั้ง 3 โดยมอบหมายให้ตนเองเป็นผู้ดำเนินการ เจือสมกับคำเบิกความของพยานบุคคลอีก 2 คน ที่สอดคล้องกันว่าในการเบิกงบประมาณฯ ปี 2568 เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรหารือกับผู้ร้องก่อนการเสนอ หรือแปรญัตติโครงการทั้ง 3 ซึ่งผู้ถูกร้องมีดำริให้เสนอและแปรญัตติ
ดำเนินโครงการต่อเนื่อง ปี 2568-2569
สำหรับงบประมาณฯ ปี 2569 กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สอบถามไปยังผู้ถูกร้องว่าประสงค์จะดำเนินโครงการทั้ง 3 ต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งผู้ถูกร้องมีดำริให้ดำเนินโครงการทั้ง 3 ต่อ
พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามบันทึกข้อความกลุ่มงานต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เกี่ยวกับการเสนอคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณฯ ปี 2569 ของโครงการทั้ง 3 ปรากฏข้อความที่เขียนด้วยลายมืออยู่เหนือลายมือชื่อของผู้ถูกร้องสอดคล้องกับบันทึกข้อความของกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ไม่ลงวันที่ เดือนธันวาคม 2567 เกี่ยวกับการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ของโครงการทั้ง 3 ซึ่งเอกสารทั้ง 2 ฉบับมีลายมือของข้อความที่แตกต่างกัน
ประกอบกับพยานบุคคล เบิกความว่าตนเป็นผู้เขียนข้อความลงในบันทึกข้อความ จึงรับฟังได้ว่าแม้ผู้ถูกร้องลงลายมือชื่อเพียงประการเดียวโดยไม่ได้เขียนข้อความ แต่การลงลายมือชื่อในเอกสารราชการย่อมต้องพิจารณาข้อความของเอกสารก่อน ประกอบกับผู้ถูกร้อง มีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วตั้งแต่ปี 2566 ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าการลงลายมือชื่อในเอกสารหมายความว่าเห็นด้วยตามข้อความในเอกสาร หากไม่เห็นด้วยย่อมต้องสั่งให้มีการแก้ไข ดังนั้น การลงลายมือชื่อแม้ไม่ได้เขียนข้อความย่อมหมายความว่าเห็นด้วยกับเอกสารดังกล่าว
ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องกล่าวอ้างว่าไม่ได้มี หรือเข้าไปมีส่วนโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อนำงบประมาณไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียงสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้ง ทั้งนี้พบว่าทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการที่จัดทำขึ้น ผู้ถูกร้องมีส่วนในการพิจารณาดำเนินโครงการและมุ่งเน้นดำเนินการในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเขตพื้นที่เลือกตั้งของผู้ถูกร้อง ทำให้มีพฤติการณ์และการกระทำที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้ง 3 โครงการ
ประเด็นที่ 3 โครงการทั้งสามมีวัตถุประสงค์จัดทำขึ้นเป็นโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2568-2570 แม้ไม่ได้ระบุพื้นที่ในการจัดกิจกรรม แต่จากการคำเบิกความของพยาน ประกอบกับบันทึกคำเบิกความพยานที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ถูกร้องไม่ได้หักล้างให้การเป็นอย่างอื่น ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ได้จากข้อพิจารณา มีน้ำหนักรับฟังสอดคล้องกันว่าผู้ถูกร้องเห็นชอบให้อนุมัติสั่งการให้เสนอหรือแปรญัตติโครงการทั้งสาม
สั่งพ้น สส. ทันที พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
ศาลเห็นว่า การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมิได้เป็นผู้แทนราษฎรเฉพาะพื้นที่หรือเฉพาะกลุ่มบุคคลที่เลือกตนเองเท่านั้น ไม่ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะได้รับการเลือกตั้งจากแบบเขต หรือแบบบัญชีรายชื่อ หรือไม่ว่าจะมาจากเขตเลือกตั้งใดในจังหวัดใด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชน
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎร 2 สถานะ คือ สถานะเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และสถานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การใช้อำนาจของผู้ถูกร้องในการดำริให้เสนอคำขอจัดสรรงบประมาณหรือคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณในโครงการทั้ง 3 เป็นการใช้อำนาจในฐานะของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1
เมื่อผู้ถูกร้องขอตั้งงบประมาณในงบประมาณปี 2569 เพื่อจัดทำโครงการทั้ง 3 ต่อเนื่องจากงบประมาณปี 2568 แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ถูกร้องว่า ต้องการใช้งบประมาณเช่นเดียวกับการใช้งบประมาณในปี 2568 ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการหาเสียง หรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง อาจจะทำให้ผู้ถูกร้อง บุคคลอื่นหรือพรรคการเมืองที่ผู้ถูกร้องสังกัดได้รับประโยชน์ในการได้รับเลือกเป็น สส ผู้ถูกร้องทำการเสนอและแปรญัตติโครงการทั้ง 3 มีผลให้ผู้ถูกร้อง มีส่วนไม่ว่าทั้งโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณปี 2569 มิใช่เป็นการดำเนินราชการตามปกติตามกิจการของรัฐสภา ไม่เข้าข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185 อนุ 2 ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรค 2
ศาลรัฐธรรมนูญต้องสั่งให้ผู้ถูกร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคือวันที่ 1 สิงหาคม 2568 และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง และต้องดำเนินการเลือกตั้ง สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่าง ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลง และให้ถือว่าเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยให้แก่คู่กรณีฟังโดยชอบ คือวันที่ 1 สิงหาคม 2568
ศาลยังวินิจฉัยให้ผู้ถูกร้อง ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งมีกำหนดเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในห้องพิจารณาคดี ภัณฑิล น่วมเจิม ผู้ร้อง มาศาล ขณะที่ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ผู้ถูกร้อง ทราบนัดโดยชอบแล้ว ไม่มาศาล มอบหมายให้ เมธี ใจสมุทร ผู้รับมอบฉันทะ เป็นผู้แทนมาศาล
เปิดมติตุลาการวินิจฉัย 2 ประเด็น
มีรายงานเพิ่มเติมว่า ในประเด็นที่ 1 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เห็นว่า ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ในโครงการทั้ง 3 โดยเสียงข้างมาก 5 เสียง ประกอบด้วย ปัญญา อุดชาชน, วิรุฬห์ แสงเทียน, จิรนิติ หะวานนท์, นภดล เทพพิทักษ์ และ สุเมธ รอยกุลเจริญ
ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 4 คน คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, อุดม สิทธิวิรัชธรรม, บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และ อุดม รัฐอมฤต เห็นว่า การให้ความเห็นชอบให้เสนอคำแปรญัตติของ ผู้ถูกร้องเป็นการกระทำของผู้ถูกร้องในฐานะที่เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 มิใช่ในฐานะเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้อง ขัดต่อมาตรา 144 วรรคสอง และวินิจฉัยให้ผู้ถูกร้องสิ้นสภาพ สส. พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง 10 ปี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 6 คน คือ ปัญญา อุดชาชน, วิรุฬห์ แสงเทียน, จิรนิติ หะวานนท์, นภดล เทพพิทักษ์, บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และ สุเมธ รอยกุลเจริญ
ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 3 คน คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, อุดม สิทธิวิรัชธรรม และ อุดม รัฐอมฤต เห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องไม่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง สมาชิกภาพของ สส. ของผู้ถูกร้องจึงไม่สิ้นสุดลง