การกลับมาปรากฏตัวต่อสาธารณะของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในเวทีเสวนาปลดล็อกอนาคตประเทศไทยสู้วิกฤตโลก (Unlocking Thailand’s Future) ของ อสมท. เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่การแสดงปาฐกถาธรรมดา แต่เป็นการประกาศทิศทางและตอกย้ำบทบาท ‘ผู้นำทางความคิด’ ที่พร้อมจะ ‘พลิกเกมเศรษฐกิจไทย’ อีกครั้ง
ทว่าเบื้องหลังวิสัยทัศน์อันกว้างไกล คือเดิมพันครั้งสำคัญที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะชี้ชะตาทั้งตัวทักษิณ และอนาคตของรัฐบาลใน ‘เดือนสิงหาคม’ ที่กำลังจะมาถึง
เปิดวิสัยทัศน์ ‘เสมียนของประเทศ’ กับภารกิจปลดล็อกเศรษฐกิจ
บนเวทีกว่า 3 ชั่วโมง ทักษิณได้ฉายภาพปัญหาของประเทศไทยที่คาราคาซังมากว่า 20 ปี โดยชี้เป้าไปที่ 3 อุปสรรคหลักคือ
การเมืองที่ถอยหลัง: ภายหลังการปฏิวัติ รัฐธรรมนูญอ่อนแอ และรัฐบาลผสมหลายพรรค ทำให้ประเทศขาดเสถียรภาพและยุทธศาสตร์ที่ต่อเนื่อง ข้าราชการมีจำนวนมาก แต่การบริการแย่
นโยบายการเงินที่ระมัดระวังเกินไป: ทักษิณวิจารณ์ถึงแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่ามุ่งรักษาสถานะของธนาคารพาณิชย์จนเกินเหตุ ทำให้ภาคธุรกิจจริงขาดแหล่งทุน
การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม: ปัญหาการทะลักของสินค้าราคาถูกจากจีนและการคอร์รัปชันตามชายแดน ที่กำลังทำลายผู้ประกอบการ SMEs ไทย
ข้อเสนอของทักษิณเต็มไปด้วยโครงการขนาดใหญ่ที่คุ้นเคย แต่ถูกนำมา ‘ปรุงใหม่’ ให้เข้ากับยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้ง บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ภาคประชาชน เพื่อแก้หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงถึง 92% ของ GDP, การผลักดัน รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ควบคู่กับการสร้างถนนชาร์จไฟไร้สาย, การเสนออาชีพใหม่ให้ประชาชนขุดคลอง เอาดินไปขายแลกกับการที่ภาครัฐไม่ต้องขุดลอกในช่วงหน้าฝน และเมกะโปรเจกต์ถมทะเล เพื่อสร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่และป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ โดยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติผ่าน ‘ทรัพย์อิงสิทธิ์ 99 ปี’
สิ่งที่สังเกตได้จากทุกเวทีของการปาฐกถา เสวนา หรือแม้แต่การปราศรัยช่วยหาเสียง คือบทบาทที่ทักษิณวางตัวเองไว้เป็น ‘เสมียนของประเทศ’ ที่คอยรวบรวมปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไขส่งต่อให้รัฐบาล ซึ่งสะท้อนความพยายามที่จะเป็นศูนย์กลางอำนาจและผู้กำหนดทิศทางนโยบาย แม้จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ตาม
การเมืองเรื่อง ‘เฮงซวย’ และเดิมพันเสถียรภาพรัฐบาล
ในมิติการเมือง ทักษิณใช้คำว่า ‘เฮงซวย’ อย่างตรงไปตรงมา เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร (บุตรสาว) ถูกสั่งพักงาน สะท้อนความไม่พอใจต่อกระบวนการทางการเมืองที่เขามองว่ากำลังฉุดรั้งประเทศ แม้ทักษิณจะยืนยันว่า “ไม่มีการเปลี่ยนรัฐบาลหรือเปลี่ยนนายกฯ” และเรียกร้องให้คนไทยก้าวข้ามความขัดแย้งเพื่อเดินหน้าต่อไป
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือท่าทีของทักษิณที่พร้อมชนกับประเด็นอ่อนไหว ทั้งการวิจารณ์ผู้นำกัมพูชาว่า ‘ไร้จริยธรรม’ การกล่าวหาพรรคภูมิใจไทยว่าเป็นคนกัมพูชาหรือไม่ และการส่งสัญญาณลดงบประมาณกองทัพเพื่อปรับตัวสู่สงครามไซเบอร์ ทั้งหมดนี้คือการส่งสารว่าทักษิณพร้อมที่จะ ‘รุก’ ในทุกมิติ โดยไม่เกรงกลัวแรงเสียดทาน รวมไปถึงคดีที่กำลังจะมีการตัดสินใจช่วงเดือนสิงหาคมนี้
เส้นด้ายเดือนสิงหาคม: 2 คดีสำคัญที่ต้องจับตา
แม้จะแสดงวิสัยทัศน์อย่างแข็งขัน แต่สถานะของทักษิณและรัฐบาลเพื่อไทยกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงสุด ในเดือนสิงหาคม มี 2 คดีสำคัญที่ต้องจับตา
คดีมาตรา 112 ของทักษิณ (นัดอ่านคำพิพากษา 22 สิงหาคม): ทักษิณแสดงความมั่นใจอย่างยิ่งว่า ‘โจทก์ไม่มีหลักฐาน’ และคดีจะจบลงในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง จะเป็นการปลดล็อกให้เขาสามารถเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อ ‘ดีล’ การลงทุนใหญ่กลับเข้าประเทศได้ตามที่ประกาศไว้ แต่หากผลออกมาเป็นลบ จะสั่นคลอนสถานะและดับฝันการเป็น ‘เซลส์แมน’ ของประเทศทันที
คดีคลิปเสียงสนทนาของนายกฯ แพทองธาร (คาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยในเดือนสิงหาคม): คดีนี้ถือเป็นเดิมพันที่สูงยิ่งกว่า เพราะเกี่ยวพันโดยตรงกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเสถียรภาพของรัฐบาล หากผลการตัดสินไม่เป็นคุณ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่อีกครั้ง
บทสรุป: เดิมพันสูงของ ‘โทนี่ วู้ดซัม’
การเคลื่อนไหวของทักษิณในครั้งนี้ คือการเล่นเกมที่เดิมพันด้วยอนาคตของประเทศและชะตากรรมของครอบครัวชินวัตร เขากำลังพยายามสร้างภาพ ‘ความหวัง’ ผ่านวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นการดึงปิดกระแสความไม่แน่นอนทางการเมืองและคดีความที่รุมล้อม
ท้ายที่สุดแล้ว ทุกโครงการที่ทักษิณวาดฝันไว้จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการ ‘ดีล’ เพื่อดึงการลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ทางกฎหมายและการเมืองที่กำลังจะถูกตัดสินใน ‘สิงหาเดือด’ นี้ ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ที่แท้จริงว่า ‘โทนี่ วู้ดซัม’ จะสามารถกลับมาพลิกเกมได้อีกครั้ง หรือจะสะดุดลงเพราะปัญหาการเมืองที่เขาเองยอมรับว่า ‘ทำนายได้ยากยิ่งกว่าเศรษฐกิจ’