IMAX Corporation กำลังอยู่ในเส้นทางสู่การสร้างปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ด้วยการคาดการณ์รายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกที่อาจทะลุ 1.2 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูด และที่สำคัญคือกลยุทธ์การมอบประสบการณ์พรีเมียมที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคหลังโควิด-19 ได้อย่างตรงจุด
ความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนชัดเจนจากภาพยนตร์เรื่องล่าสุดอย่าง ‘F1: The Movie’ ที่ Apple ยอมปิดดีลกับ IMAX ล่วงหน้ากว่าหนึ่งปี เพื่อใช้เทคโนโลยีกล้องของ IMAX ในการถ่ายทำและได้สิทธิ์ฉายในโรงภาพยนตร์ IMAX เป็นเวลา 3 สัปดาห์เต็ม ข้อตกลงนี้ช่วยผลักดันให้ภาพยนตร์ทำรายได้ทั่วโลกเกือบ 300 ล้านดอลลาร์ใน 10 วันแรก
รายได้กว่า 20% ของภาพยนตร์ F1 ทั่วโลกมาจากโรงภาพยนตร์ IMAX และเมื่อเจาะจงเฉพาะในสหรัฐฯ และแคนาดา โรงภาพยนตร์ IMAX สามารถกวาดส่วนแบ่งยอดขายตั๋วของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปได้ถึง 25% ทั้งที่มีจำนวนจอภาพคิดเป็นไม่ถึง 1% ของจำนวนจอภาพยนตร์ทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังในการดึงดูดผู้ชมและอำนาจในการกำหนดราคาของแบรนด์ IMAX ได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ภาพยนตร์อีก 2 เรื่องในปีนี้คือ Sinners ของ Warner Bros. และ Mission: Impossible – The Final Reckoning ของ Paramount ก็สามารถทำส่วนแบ่งตลาดในโรง IMAX ได้เกิน 20% เช่นกัน
Rich Gelfond ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ IMAX คาดการณ์ว่า ปีนี้บริษัทจะทำรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะสูงกว่าปี 2567 ถึง 33% และเป็นสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 55 ปีของบริษัท ขณะที่นักวิเคราะห์ใน Wall Street คาดว่าปี 2569 จะเป็นปีที่ดียิ่งกว่าเดิม
Gelfond ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า กุญแจสำคัญคือการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ “หลังการระบาดใหญ่ กิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกิจกรรมที่เป็นอีเวนต์สำหรับแบรนด์พรีเมียมนั้นทำได้ดีมาก คุณดูคอนเสิร์ตสิ ราคาตั๋วสูงขึ้น ที่นั่งพรีเมียมก็ราคาสูงขึ้น กีฬาก็เช่นเดียวกัน หรือบรอดเวย์ ผมคิดว่าผู้คนแม้จะมีความสุขกับการอยู่บ้านและดูสตรีมมิง แต่เมื่อพวกเขาออกจากบ้าน พวกเขาต้องการอะไรที่แตกต่างจากที่บ้านอย่างชัดเจน”
หัวใจสำคัญที่สร้างความแตกต่างให้กับ IMAX ไม่ใช่แค่จอภาพยนตร์ขนาดใหญ่และระบบเสียงที่สมจริง แต่คือโปรแกรม “Filmed for IMAX” ซึ่งหมายถึงการที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ถูกถ่ายทำด้วยกล้องและเทคโนโลยีที่ IMAX พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะเพื่อประสบการณ์การรับชมที่ดีที่สุด
“ในปีนี้เรามีภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือถึง 8 เรื่องติดต่อกันที่ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX และโดยปกติแล้ว บ็อกซ์ออฟฟิศจะทำรายได้สูงขึ้นเมื่อคุณถ่ายทำด้วยกล้องของเรา เหตุผลหนึ่งคือมันเป็นวิธีที่ดีกว่าในการรับชมและรับฟัง แต่อีกเหตุผลคือโดยปกติแล้วผู้สร้างภาพยนตร์จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ และพวกเขาจะบอกผู้ชมของตนเองว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการชมผลงานของพวกเขา ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นแรงกระตุ้นที่ทรงพลังให้ผู้ชมเดินทางมาที่ IMAX” Gelfond กล่าว
ภาพยนตร์ที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้ล้วนเป็นผลงานของผู้กำกับและนักแสดงระดับแม่เหล็ก เช่น Oppenheimer ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน, ภาพยนตร์ชุด Dune ของ เดอนี วีลเนิฟ หรือแม้แต่ Mission: Impossible ภาคล่าสุดของ ทอม ครูซ
อลิเซีย รีส นักวิเคราะห์จาก Wedbush เสริมว่า “ยิ่งมีภาพยนตร์ ‘Filmed for IMAX’ มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเห็นผลงานที่โดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น และอัตรากำไรก็จะยิ่งดีขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การได้ภาพยนตร์คุณภาพดียิ่งขึ้นในปีต่อๆ ไป และผมคาดว่าจะได้เห็นสตูดิโอเข้ามาเป็นเจ้าของแคมเปญการตลาดมากขึ้น ซึ่งจะสร้างประโยชน์ได้อีกมหาศาล”
ความแข็งแกร่งของ IMAX ในปัจจุบัน ทำให้บริษัทกำลังเผชิญกับสิ่งที่ เอริก แฮนด์เลอร์ นักวิเคราะห์จาก Roth เรียกว่า “ปัญหาของคนมีระดับ (High-class Problem) จากการมีคอนเทนต์ดีๆ ให้เลือกฉายมากเกินไป”
ตัวอย่างเช่น การที่ IMAX ให้สัญญาฉาย F1 นาน 3 สัปดาห์ ทำให้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Jurassic World Rebirth ของ Universal พลาดโอกาสฉายในโรง IMAX ในสหรัฐฯ และได้ฉายเพียงในจีนและญี่ปุ่นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตารางฉายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ในปี 2568 และ 2569 ยังคงอัดแน่นไปด้วยภาพยนตร์แม่เหล็ก ไม่ว่าจะเป็น Superman ที่เพิ่งเข้าฉาย, Fantastic Four: First Steps ของ Disney และ Marvel, Wicked: For Good ของ Universal, Avatar: Fire and Ash ของ Disney
และในปี 2569 ที่จะมีทั้ง Project Hail Mary ของ Amazon, ภาพยนตร์ Avengers เรื่องใหม่, Star Wars ภาคใหม่, ภาคต่อของ The Super Mario Bros. Movie, Moana ฉบับคนแสดง, Toy Story 5 และ Shrek 5 และผลงานเรื่องต่อไปของคริสโตเฟอร์ โนแลนอย่าง The Odyssey
เติบโตนอกฮอลลีวูดและขยายสาขาทั่วโลก
ความสำเร็จของ IMAX ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาพยนตร์ฮอลลีวูดเท่านั้น “ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของฮอลลีวูด พวกเขายังใช้ประโยชน์จากเครือข่ายทั่วโลกและฉายภาพยนตร์ภาษาท้องถิ่นในจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และบางส่วนของยุโรปด้วย” แฮนด์เลอร์กล่าว
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Ne Zha 2 ภาพยนตร์แอนิเมชันจากจีนที่ทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย IMAX สามารถสร้างรายได้จากการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวไปเกือบ 170 ล้านดอลลาร์
ปัจจุบัน IMAX มีโรงภาพยนตร์ประมาณ 1,700 แห่งทั่วโลก และ Gelfond เผยว่าบริษัทมีสัญญาที่จะสร้างเพิ่มอีกประมาณ 500 แห่ง “ปีนี้เราเซ็นสัญญาเปิดโรงภาพยนตร์ใหม่เกือบเท่ากับที่เราเซ็นตลอดทั้งปีที่แล้ว ดังนั้นยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก” Gelfond กล่าวทิ้งท้าย โดยคาดว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในรายงานผลประกอบการซึ่งจะประกาศในช่วงปลายเดือนนี้
อ้างอิง: