รมว.คลัง สั่ง ธอส. รุกตลาดสินเชื่อบ้าน 7 ล้านบาทขึ้นไป ดอกเบี้ยปีแรกเริ่มเพียง 1.79% ต่อปี หวังเพิ่มการแข่งขัน พร้อมให้อัดสินเชื่อเพิ่มอีกกว่า 150,000 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง หวังกระตุ้นอสังหาไทย หนุนการจ้างงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่องเติบโตเพิ่มขึ้น
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบนโยบายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการปล่อยสินเชื่อใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 รวมมูลค่ากว่า 150,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ สร้างการจ้างงาน และขับเคลื่อนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมอีก 4 มาตรการ ประกอบด้วย
1. ออกสินเชื่อบ้าน Premier Home สำหรับลูกค้าที่มีกำลังซื้อ วงเงินให้กู้ตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้นเพียง 1.79% ต่อปี
2. ปล่อยสินเชื่อสำหรับลูกค้าที่ต้องการกู้เพิ่มเพื่อปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซม หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย วงเงินกู้สูงสุด 300,000 บาท โดยวงเงิน 100,000 บาทแรก อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1% ต่อปี ผ่าน ‘สินเชื่อซ่อม-แต่ง’ และอัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี ในวงเงิน 200,000 บาทถัดมา ผ่าน ‘สินเชื่อซ่อม-แต่ง Plus’
3. สินเชื่อ Pre Finance Premium สำหรับผู้ประกอบการอสังหาคุณสมบัติตามที่ธนาคารกำหนด ในพื้นที่ทำเลที่มีศักยภาพ 27 จังหวัด อัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.90% ต่อปี
4. มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ได้รับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวด นานสูงสุด 1 ปี โดยอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก เพียง 0% ต่อปี ผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน
“ธอส. มีความเข้มแข็งทางการเงิน เห็นได้จากอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) และอัตราการปล่อยสินเชื่อที่สูง ธอส. พร้อมที่จะขยายไปสู่ธุรกิจอสังหาในรูปแบบอื่นๆ โดยรัฐพยายามผลักดันให้ ธอส. เข้าสู่ตลาดที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียม หรือบ้านราคาเกิน 7 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อกระตุ้นให้สถาบันการเงินอื่นๆ เข้ามาแข่งขันเพิ่มขึ้น” พิชัยกล่าว
มาตรการชุดนี้มีขึ้นหลังจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธอส. เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1/68 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีมูลค่าลดลง -13%YoY โดยเป็นการชะลอตัวในทุกภูมิภาค ขณะที่มูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ มูลค่า 109,368 ล้านบาท ลดลง 10%YoY
โดย REIC ยังคาดว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปี 2568 จ่อลดลง 0.8%YoY พร้อมคาดว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศทั้งปีนี้ลดลง 0.3% จะเป็นการติดลบเป็นปีที่ 3 หลังจากในปี 2556 ติดลบไปแล้ว -2.8% และ -13.4% ในปี 2567
ธอส. ช่วยเหลือลูกหนี้ต่อเนื่อง รักษาบ้านให้คนไทยแล้วกว่า 373,000 บัญชี
กมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธอส. เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า ปัจจุบันมาตรการ DC3 มีลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 4,000 บัญชี คิดเป็นวงเงินต้นคงเหลือกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งจากการดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ได้มีส่วนช่วยเหลือและทำให้คนไทยเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ธอส. สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้กว่า 100,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงเดินหน้าเป็นกลไกหลักของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 อีกกว่า 150,000 ล้านบาท เพื่ออัดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ทั้งปีสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้าหมาย 241,780 ล้านบาท นับเป็นส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นภาคอสังหาให้ขยายตัวได้ดีขึ้น ส่งอานิสงส์บวกต่อการจ้างงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่องให้ขยายตัวได้ดีขึ้น และจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป
นอกจากมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจผ่านการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแล้ว ธอส. ยังได้ช่วยเหลือลูกค้าตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนิน ‘โครงการคุณสู้ เราช่วย’ ปัจจุบันมีลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ 80,939 บัญชี
อย่างไรก็ตาม สำหรับลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการคุณสู้ เราช่วย ธอส. ก็มีมาตรการในการช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) และลูกค้าสถานะ NPL ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้มาอย่างต่อเนื่องรวมกว่า 373,000 บัญชี
แบ่งเป็น ปี 2567 มีลูกค้าที่ได้รับการแก้ไขหนี้และกลับมามีสถานะปกติแล้วกว่า 238,000 บัญชี ผ่านมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ปี 2567 (HD1-HD3) และมาตรการในการช่วยลูกค้าลดเงินงวดผ่อนชำระ พักชำระดอกเบี้ยนานสูงสุด 1 ปี
โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ธอส. ช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มดังกล่าวให้กลับมามีสถานะปกติแล้วกว่า 135,000 บัญชี จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC1-DC2)