×

เปิดใจ ‘ศุภจี’ แม่ทัพหญิงแห่ง ‘ดุสิตธานี’ ล้วงลึกอนาคตบริษัท ในศึกสายเลือดผู้ถือหุ้นใหญ่

13.06.2025
  • LOADING...
ดุสิตธานี

กรณีผู้ถือหุ้นใหญ่ ‘ดุสิตธานี’ ที่อีกด้านหนึ่ง ‘สวมหมวก’ กรรมการบริษัท ไม่อนุมัติงบการเงิน ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วแวดวงตลาดทุน และกลายเป็นกรณีที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตลาดทุนไทย

 

การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ บมจ.ดุสิตธานี (DUSIT) เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาที่ดูเหมือนจะเป็นการประชุมผู้ถือหุ้นทั่วไป แต่เมื่อวาระสำคัญอย่างการรับรองงบการเงินประจำปี 2567 ไม่ผ่านการอนุมัติจากที่ประชุม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักและสร้างคำถามตัวโตถึงสถานการณ์ภายในของกลุ่มโรงแรมระดับตำนานของไทย

 

เหตุการณ์นี้อาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของความขัดแย้งภายในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่ส่งผลให้ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ดุสิตธานี ต้องประคับประคองสถานการณ์ และเร่งพาองค์กรให้รอดพ้นจากวิกฤตความเชื่อมั่น พร้อมเดินหน้าตามแผน 9 ปีที่วางไว้

 

THE STANDARD WEALTH มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษศุภจี เพื่อเจาะลึกถึงเบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แผนการดำเนินงานตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ความหวังในการกลับมาจ่ายเงินปันผลภายในปีหน้า และอนาคตของ ‘ดุสิตธานี’ ที่เธอกำลังนำทัพอยู่

 

ปมขัดแย้งผู้ถือหุ้นใหญ่ และจุดเริ่มต้นของเรื่องราว

 

“ยอมรับว่าแปลกใจ” ศุภจีกล่าวถึงช่วงเวลาที่เธอรับรู้ถึงเค้าลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายใน บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DUSIT ในสัดส่วนกว่า 49% โดยมีการเปลี่ยนแปลงตัวแทนกรรมการครั้งสำคัญภายใน บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งส่งผลให้ ชนินทธ์ โทณวณิก ถูกปลดออกจากการบริหาร และมีการส่งทายาทของ สินี เธียรประสิทธิ์ และ สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งเป็นน้องสาว เข้ามาเป็นกรรมการแทน

 

“หลังจากนั้นได้รับจดหมายจากคุณชนินทธ์ว่าท่านถูกปลดจากการเป็นกรรมการ โดยคุณชนินทธ์อธิบายว่าถูกปลดโดยมิชอบและกำลังดำเนินการให้ถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเค้าลางว่าไม่ปกติ”

 

แม้โครงสร้างการบริหารงานภายในดุสิตธานีจะมีการคานอำนาจกันอยู่แล้ว โดย ชนินทธ์ โทณวณิก และสินี เธียรประสิทธิ์ ต่างเป็นกรรมการของบริษัท ขณะเดียวกันก็มีทายาทจากทั้งสองฝั่งเข้ามาทำงานที่ดุสิตธานี และรายงานตรงต่อศุภจีในฐานะซีอีโอมืออาชีพ แต่ความขัดแย้งที่ก่อตัวขึ้นก็ได้ปะทุออกมาอย่างชัดเจนในวันประชุมผู้ถือหุ้น

 

เบื้องลึกเหตุการณ์ ‘โหวตไม่อนุมัติงบ’ และการเดิมพันกับ ‘SP’

 

วันที่ 25 เมษายน 2568 ศุภจีและทีมผู้บริหารใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ในวาระแรกเพื่อตอบคำถามจำนวนมากที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ส่งเข้ามาก่อนหน้า ซึ่งส่วนใหญ่กังวลเรื่องผลขาดทุนต่อเนื่อง และการลงทุนในโครงการต่างๆ แต่เมื่อเข้าสู่วาระที่ 2 คือการรับรองงบการเงินปี 2567 สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

 

“ตอนนั้นกรรมการทุกคน รวมทั้งตัวพี่เอง ไม่ได้มีความคิดเลยว่าจะไม่ผ่าน เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งสองฝ่าย คือคุณชนินทธ์และคุณสินี ได้อนุมัติงบการเงินนี้ในฐานะกรรมการบริษัทมาก่อนแล้ว” ศุภจีเล่า “จริงๆ แล้วการอนุมัติงบการเงินเป็นเรื่องของการรับรองว่าจัดทำงบได้ถูกต้องตามมาตรฐานหรือไม่ ไม่ใช่ว่าผลประกอบการดีหรือไม่ดี”

 

การโหวต ‘ไม่อนุมัติ’ จากผู้ถือหุ้นใหญ่สร้างความกังวลอย่างหนัก เพราะอาจทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเข้าใจผิดว่า งบการเงินมีปัญหาซ่อนอยู่หรือไม่ สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อเกิดข้อผิดพลาดทางเทคนิคเกี่ยวกับระบบการประชุมออนไลน์ ทำให้ศุภจีไม่เห็นคำถามจากผู้ถือหุ้นที่ถาโถมเข้ามาในวันนั้น ทำให้ต้องเลื่อนวาระที่เหลือออกไป

 

วิกฤตที่แท้จริงคือเส้นตายการส่งงบการเงินไตรมาส 1/2568 ในวันที่ 15 พฤษภาคม หากส่งไม่ทัน หุ้น DUSIT จะถูกขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension of Trading) ซึ่งกรณีเลวร้ายสุดอาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ (Cross Default) มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาทได้

 

เราต้องพยายามทุกวิถีทาง มีการเข้าชี้แจงกับผู้ถือหุ้นใหญ่ถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ในที่สุดวันที่ 13 พฤษภาคม ด้วยความเชื่อมั่นว่าเราทำทุกอย่างถูกต้องโปร่งใส และได้รับการสนับสนุนจากผู้สอบบัญชีอย่าง KPMG คณะกรรมการจึงตัดสินใจอนุมัติงบไตรมาส 1/68 และส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทันเวลา ทำให้รอดพ้นจากการถูกขึ้น SP ไปได้

 

แม้ในเวลาต่อมา ที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 28 พฤษภาคม จะอนุมัติวาระต่างๆ ผ่านฉลุย แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่กรรมการอิสระที่ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ซึ่งครบวาระ ไม่ได้รับการอนุมัติให้กลับเข้าดำรงตำแหน่งต่อ ได้แก่ 1. อาสา สารสิน 2. ปราณี ภาษีผล 3. ภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ และ 4. สมประสงค์ บุญยะชัย

 

ย้อนดูแผน 9 ปี บทพิสูจน์ฝีมือการบริหาร ท่ามกลางวิกฤต

 

เพื่อตอบคำถามถึงผลประกอบการ ศุภจีได้ย้อนเล่าถึง ‘แผน 9 ปี’ ที่เธอได้วางไว้ตั้งแต่ปี 2016 โดยมีเป้าหมาย 3 เรื่องหลักคือ

 

  1. สร้างพอร์ตให้สมดุล โตแบบ Asset Light หรือพยายามลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่จะต้องใช้เงินลงทุนสูง รวมทั้งลดการพึ่งพารายได้จากโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ

 

  1. ขยายธุรกิจ ทั้งในแง่ขนาดและการจับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เช่น แบรนด์ ASAI ที่จับกลุ่ม Gen Y และ Z

 

  1. กระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจอาหาร การศึกษา และโครงการแบบ mixed-use

 

“3 ปีแรกคือการวางพื้นฐาน ทั้งคน โครงสร้างธุรกิจ ระบบไอที และปรับปรุงโรงแรมเก่า อีก 3 ปีถัดมาคือการสร้าง New Engine จากการ Diversify และ 3 ปีสุดท้ายคือช่วงเก็บเกี่ยว”

 

แผนทั้งหมดเดินมาได้อย่างดีจนกระทั่งเจอวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเป็น ‘หลุมอากาศ’ ที่หนักและยาวนาน แต่ด้วยแผนที่วางไว้ ทำให้บริษัทสามารถประคองตัวผ่านมาได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน และยังคงรักษาอันดับเครดิตที่ระดับ Investment Grade ไว้ได้ตลอด

 

“ผลประกอบการปี 2567 เรามีรายได้ 1.1 หมื่นล้านบาท EBITDA อยู่ที่ 1,650 ล้านบาท โตจาก 862 ล้านบาทในปี 2566 ถือว่าไม่ได้แย่เลย และดีกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำ ส่วนที่ยังขาดทุน 267 ล้านบาท เป็นผลมาจากภาระดอกเบี้ยและมาตรฐานทางบัญชีเป็นหลัก”

 

ปัจจุบันดุสิตธานีขยายโรงแรมจากที่เคยมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ เป็นโรงแรม 55 แห่ง และวิลล่าหรู 239 แห่ง และในปี 2568 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567

 

หากเทียบกับปี 2559 ที่มีเพียง 27 แห่ง แบ่งเป็นการรับบริหาร 17 แห่ง และเป็นเจ้าของ 10 แห่ง ส่วนปัจจุบันมีโรงแรมที่เราเป็นเจ้าของเท่าเดิมคือ 10 แห่ง แต่มีการปรับเปลี่ยน โดยขายบางโรงแรมออกไป ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ การลดการพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจโรงแรมจากกว่า 90% มาเหลือกว่า 60%

 

โปรเจกต์ Dusit Central Park และความหวังกลับมาจ่ายปันผล

 

หัวใจสำคัญของการเก็บเกี่ยวผลจากการลงทุน คือโครงการ Dusit Central Park มูลค่ากว่า 4.6 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะในส่วนของ Dusit Residence ที่ขายไปแล้วเกือบ 90% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ปลายปีนี้ และรับรู้อย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า

 

หัวใจความสำเร็จของโครงการนี้คือ Dusit Residence ถ้าขายได้หมด จะเหมือนกับว่าบริษัทเกือบได้โรงแรมมาฟรี สำหรับยอดขายปัจจุบันเป็นลูกค้าชาวไทย 70% ขณะที่ราคาขายก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากช่วงแรกเกือบ 3 แสนบาทต่อตารางเมตร ปัจจุบันอยู่ที่เกือบ 4 แสนบาทต่อตารางเมตร นอกจากนี้ บริษัทก็จะมีรายได้จากธุรกิจรีเทลเข้ามาเพิ่มเติมด้วยประมาณ 15% จากโครงการร่วมทุนกับเครือเซ็นทรัล

 

“เงินรายได้จาก Dusit Residence จะเข้ามาช่วยลดภาระหนี้สิน ทำให้กำไรและรายได้กลับมา ซึ่งทำให้เรามีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะกลับมาจ่ายเงินปันผลให้ได้อีกครั้งภายในปี 2569” ศุภจีประกาศความตั้งใจอย่างชัดเจน

 

อย่างไรก็ตาม หากดูในรายงานการประชุมเมื่อ 28 เมษายนที่ผ่านมา จะเห็นว่าคณะกรรมการบริษัทได้เสนอให้เปลี่ยนแปลงนโยบายการจ่ายเงินปันผล จากเดิมที่จะจ่ายจากงบการเงินรวม มาเป็นงบการเงินเฉพาะกิจการ แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น

 

ในส่วนนี้ศุภจีบอกว่า “หากสามารถจ่ายเงินปันผลจากงบการเงินเฉพาะกิจการได้ จะมีโอกาสสูงขึ้นที่บริษัทจะจ่ายเงินปันผลได้ในปีหน้า” เนื่องจากงบการเงินรวมของบริษัท ณ สิ้นไตรมาส 1 ยังมีผลขาดทุนสะสมอยู่กว่า 1.2 พันล้านบาท

 

อนาคตของ ‘ดุสิตธานี’

 

เมื่อถามถึงผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้น ศุภจียืนยันว่าไม่ได้กระทบต่อแผนการดำเนินงานของบริษัท

 

“สำหรับเราที่เป็นคนทำงานมืออาชีพ เรายังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปจนจบตามแผน ใครจะมาเป็นกรรมการเราก็ยินดีทำงานด้วย เราทำเพื่อบริษัท เพื่อพนักงานนับหมื่นคน และผู้ถือหุ้นทุกคน”

 

เพื่อแสดงความเชื่อมั่น เธอยังได้เข้าซื้อหุ้น DUSIT จำนวน 100,000 หุ้น เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ราคาเฉลี่ย 7.60 บาท โดยบอกว่าไม่ใช่การเรียกความเชื่อมั่น แต่เป็นความเชื่อมั่นต่อการทำงานของตัวเอง

 

สำหรับผลประกอบการของดุสิตธานีล่าสุด ไตรมาส 1/68 มีรายได้ 2,334.88 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 47.86 ล้านบาท ส่วนทั้งปีนี้จะมีกำไรหรือไม่ “ยังไม่สามารถคาดเดาได้”

 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานีกล่าวว่า ในปีหน้า หลังจากการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการที่พักอาศัย กลุ่มดุสิตธานีจะสามารถลดภาระหนี้สิน ทำให้ต้นทุนการเงินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ธุรกิจอาหารจะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญในการสร้างการเติบโตนอกเหนือไปจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

 

ธุรกิจอาหารที่ดำเนินการผ่าน บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ปัจจุบันการลงทุนใน บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในไทย บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส (The Caterers) ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในประเทศไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง และขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับการนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

 

“แผน 9 ปีที่วางไว้กำลังจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่ได้เริ่มนับหนึ่งตอนนี้ โครงการลงทุนต่างๆ ไม่ได้บานปลายอย่างที่หลายคนสงสัย ส่วนอนาคตก็ขึ้นอยู่กับคนที่จะมารับไม้ต่อ ถึงจุดนั้นถ้าไม่ใช่พี่ก็ไม่เป็นไร แต่ในฐานะคนทำงาน เรายินดีที่จะทำต่อและพาทีมไปให้สุดทาง”

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising