วันนี้ (25 มีนาคม) โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) รายงานว่า วันนี้ ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ป้ามล-ทิชา ณ นคร นักกิจกรรมด้านสิทธิเด็กและผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก ในข้อหาดูหมิ่นและหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากการโพสต์เฟซบุ๊กที่ใช้ข้อความว่า “เถื่อน ถ่อย…” พร้อมภาพ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เพื่อวิจารณ์ถ้อยคำที่เขาใช้กล่าวถึงกลุ่มเยาวชนที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง
สำหรับต้นเหตุของคดี มาจากเหตุการณ์ที่กลุ่มนักกิจกรรมรวมตัวประท้วงหน้าพรรคเพื่อไทย ในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล โดยมีการเทน้ำแดงและเผาหุ่นฟางแสดงสัญลักษณ์คัดค้านที่พรรคเพื่อไทยไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ต่อมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 โดยกล่าวถึงเยาวชนที่ไม่ใส่ชุดนักเรียนว่า “ถ้าเป็นลูกผม ผมฆ่าทิ้งเลย เด็กแบบนี้เอาไว้ได้ที่ไหน ถ้าเป็นลูกผม ผมไม่เอาหรอก”
ต่อมา ทิชา จึงได้โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้ พร้อมนำภาพของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มาประกอบ โดยระบุข้อความตอนหนึ่งว่า “ต่อให้คนพูดถ้อยคำดังกล่าวเป็นผู้ใหญ่ในสถานะใดก็ถือว่า เถื่อน ถ่อย เกินที่จะรับได้…”
ทำให้ในเวลาต่อมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยื่นฟ้องคดีต่อศาลโดยตรง โดยกล่าวหาว่า ทิชามีเจตนาให้ประชาชนเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี เป็นคนเถื่อน ถ่อย กดขี่ ดูหมิ่นดูแคลนประชาชน เป็นคนที่น่ารังเกียจ ไร้อารยะ และตั้งค่าการโพสต์เป็นสาธารณะ จนมีการแชร์ต่อไปจำนวนมาก มีผู้แสดงความเห็นในทางเสียหายกับโจทก์เป็นจำนวนมาก
ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ สำหรับคำพิพากษาของศาลระบุว่า ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เบิกความว่า การแถลงข่าวของโจทก์เป็นการกล่าวถึงภาพรวมของเหตุการณ์การชุมนุม ไม่ได้เจาะจงบุคคลใดโดยเฉพาะ และคำว่า ‘ฆ่าทิ้ง’ เป็นเพียงคำขู่เปรียบเปรยในลักษณะพ่อแม่อบรมลูก ไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าจริง และไม่ได้กล่าวถึงเยาวชนคนใดเป็นพิเศษ
ขณะที่จำเลยเบิกความต่อสู้ว่า คำกล่าวของโจทก์ส่งเสริมค่านิยมความรุนแรงต่อเด็ก ขัดต่อหลักสิทธิเด็ก โดยเฉพาะเมื่อโจทก์เป็น สส. มีอำนาจเหนือกว่าเด็กและเยาวชน การแสดงความเห็นของจำเลยมุ่งเน้นไปที่คำพูดของโจทก์ ไม่ใช่ตัวบุคคล หากเป็นใครพูดเช่นนี้ก็จะวิจารณ์เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ จำเลยยังได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ว่าการกระทำของโจทก์ขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และ กสม. ได้ออกความเห็นว่า โจทก์ไม่ได้คำนึงถึงหลักการคุ้มครองสิทธิเด็กตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก และพันธกรณีระหว่างประเทศ อีกทั้งการพูดของโจทก์เป็นการสร้างความเกลียดชังที่เกินสมควร ถือเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก
จำเลยยังได้ยื่นหนังสือต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ตรวจสอบจริยธรรมของโจทก์ในฐานะ สส. แต่โจทก์ลาออกก่อน จึงต้องยุติการตรวจสอบ
แม้ศาลเห็นว่าคำว่า ‘เถื่อน ถ่อย ไร้อารยะ’ ที่จำเลยใช้ เป็นถ้อยคำที่อาจเป็นการดูหมิ่น และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 และ 393 แต่เมื่อพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นไปโดยสุจริต
จำเลยเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน ย่อมมีความรู้ ความเข้าใจในสภาพจิตใจและสิทธิของเยาวชน การแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม
โจทก์เป็น สส. ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนได้ จึงถือว่าการกระทำของจำเลยเข้าเงื่อนไขข้อยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 329
ศาลพิพากษายกฟ้อง