วันนี้ (24 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) วาระพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันแรก ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส. กทม. พรรคประชาชน อภิปรายว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี Gen Y ที่ขึ้นมาบริหารงาน 194 วัน แต่เป็น 194 วันที่ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมาน ลำบากยากเย็น ไม่มีกิน ไม่มีใช้ ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ไม่เหมือนคำโฆษณาชวนเชื่อเมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้ง
ณัฐชายกคำกล่าว ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยเคยมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ในยุคสมัยนี้มีการบริหารผิดทิศผิดทาง จนทำให้ประเทศไทยกลายเป็นในนามีสารเคมี ส่วนในน้ำมีหายนะครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งกำลังทำลายกลืนกินทุกสิ่งมีชีวิตในทุกแหล่งน้ำของประเทศ ในการระบาดของปลาหมอคางดำ ซึ่งนับเป็นอาชญากรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ทำให้เกิดความเสียหาย สูญเสียอาชีพ ทรัพย์สิน ความมั่นคงในชีวิต มองไม่เห็นอนาคตของเกษตรกรและประชาชนคนไทย หมดสิ้นซึ่งหนทางในการเลี้ยงสัตว์น้ำ เหลือแต่บ่อที่มีแต่ผักบุ้งที่บ้านนี้เมืองนี้ไม่ช่วยอะไรเขาเลย ตัวเลขความเสียหายดิ่งสูงขึ้น ณ ตอนนี้ประเมินมูลค่าคร่าวๆ ที่ 26,432 ล้านบาท
“แม้เงินหมื่นที่ท่านนายกรัฐมนตรีแจกออกไปหวังจะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้กลายเป็นอาหารอันโอชะของปลาหมอคางดำกันหมดแล้ว เพราะชาวบ้านหวังจะนำเอาเงินก้อนนี้ไปเป็นทุนต่อยอด แต่ในแหล่งน้ำธรรมชาติทุกสายกลับมีปลาหมอคางดำแทรกซึมไปทั้งหมด” ณัฐชากล่าว
ณัฐชาย้ำว่าสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่แค่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่คือความเงียบของรัฐบาลที่นิ่งนอนใจและปล่อยให้ประชาชนต้องสู้กับวิกฤตครั้งนี้อยู่เพียงลำพัง ไม่มีหน่วยงานใดเลยที่จะกล้าออกมาปกป้องทรัพยากรที่มีมูลค่ามหาศาลของประเทศชาติ ไม่มาต่อสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชน ความจริงแล้วต้องเริ่มจากการที่รัฐบาลมีความกล้าหาตัวผู้กระทำความผิดให้ได้เป็นอันดับแรก ชดเชยเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วให้เต็มประสิทธิภาพ
ณัฐชาระบุว่ามีการอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ 450 ล้านบาทให้ชาวประมงดีใจ สุดท้ายเป็นเพียงกรอบตัวเลขให้กรมประมงไปหาเงินเอาเอง ตัดแบ่งจากโครงการอื่นๆ ที่กรมประมงจะทำและให้โยกมาแก้ปัญหาเรื่องนี้ สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ได้แต่เป็นเพียงละครฉากใหญ่ หลอกซื้อใจ ซื้อเวลา ล่าสุดได้ยินข่าวแว่วๆ ว่าจะอนุมัติมาอีก 98 ล้านบาท ก็เปรียบเสมือนอนุมัติซื้อยาพาราแก้โรคมะเร็งถ้ายังคิดทำอยู่แบบนี้
“ท่านกลัวอะไร ทำไมถึงไม่กล้าสั่งให้ตามล่าหาความจริง รื้อเรื่องนี้มาตรวจสอบ หาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน หรือหากท่านเกรงใจ ไม่กล้าทำอะไรที่อาจจะไปกระทบกระทั่งกับกลุ่มทุนผู้ที่ช่วยตั้งไข่รัฐบาลนี้มา ก็ช่วยเห็นใจประชาชน โดยการหยิบเอารายงานของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่พิจารณาเรื่องนี้แล้วมาใช้ ไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถพิเศษใดๆ เพียงแค่นำรายงานเล่มนี้เข้าคณะรัฐมนตรี แล้วสั่งการอ้อมๆ ได้เลย ซึ่งผู้ที่มีอำนาจเต็มในการสั่งการครั้งนี้คือแพทองธาร”
ณัฐชาย้ำว่า ในรายงานผลการศึกษาระบุชัดเจนด้วยพยานหลักฐานทั้งหมดว่า เราพบการขออนุญาตนำเข้าปลาหมอคางดำมาในราชอาณาจักรไทยเพียงรายเดียว นั่นคือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF
“หากปลามันฉลาดถึงขนาดว่ายข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงประเทศไทย เพราะคิดว่าพ่อและเพื่อนๆ ของมันบินมาอยู่ที่นี่ แต่มันก็คงจะไม่รู้ถึงขนาดว่ายมาที่ตำบลเดียวกัน อำเภอเดียวกัน จังหวัดเดียวกัน เพราะถ้ามันเก่งขนาดนี้ ฉลาดขนาดนี้ ว่ายมาหาพ่อมันที่มาเป็นสัตว์วิจัยได้พิกัดตรงเป๊ะขนาดนี้ ก็จับมันแกงให้นายกรัฐมนตรีแพทองธารทานไปเลย จะได้ฉลาดและเก่งแบบปลาหมอคางดำฝูงนี้”
นอกจากนี้ณัฐชายังขอเรียกร้อง 4 ข้อที่รับมาจากชาวบ้าน ดังนี้
- ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบผู้หากระทำความผิด
- กำจัดปลาหมอคางดำให้หมดภายใน 1 ปี
- ประกาศเขตภัยพิบัติทันที
- ให้หน่วยงานรัฐฟ้องผู้กระทำผิดมาชดเชยเยียวยา
ซึ่งไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง ไม่ได้เกินความสามารถของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร และน้ำหนักของข้อเรียกร้องนี้ ก็ไม่ได้มีน้ำหนักมากไปกว่าช่อดอกไม้ ที่ท่านรับในวันนั้นเลย ทำไมถึงจะมารับไปดำเนินการ แก้ไขให้พวกเขาไม่ได้
ระหว่างการอภิปราย ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า ผู้อภิปรายกล่าวเท็จว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ทำอะไรเลย รับแต่ช่อดอกไม้ ทั้งที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งจะอนุมัติงบประมาณและทำอีกหลายมาตรการ ท่านควรจะเรียบเรียงเรื่องของท่าน และขอให้ประธานในที่ประชุมควบคุมเรื่องการใส่ร้ายด้วย
ณัฐชาจึงกล่าวย้ำว่า ได้พูดถึงเรื่องงบประมาณแล้ว โดยเปรียบเทียบว่าเหมือนเอาเงินซื้อยาพาราไปรักษาโรคมะเร็ง แต่ผู้ประท้วงไม่ยอมฟังให้จบ
ณัฐชากล่าวอีกว่า สุดท้ายรัฐบาลเพื่อไทยหัวใจเพื่อใครกันแน่ ทำไมถึงปล่อยให้เสียงกระซิบของนายทุน มันดังสนั่นหวั่นไหวในประเทศนี้ แต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องผ่านความเจ็บปวด ของพี่น้องประชาชน และเกษตรกรไทยเลย ก็ได้แต่ตั้งคำถามว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยหัวใจคือนายทุนหรือไม่ เพราะแต่ละภาพที่ออกมา มีความใกล้ชิดสนิทสนมชิดเชื้อระหว่างครอบครัวและบริษัทที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำกันเสียเหลือเกิน
“จงจำไว้ว่าการมีอำนาจในวันนี้ท่านไม่ได้มาจากกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่ง เพราะใบอนุญาตการเป็นรัฐบาล ต้องใช้เสียงสนับสนุนจากประชาชน ท่านอย่ากลัวกลุ่มทุนจะไม่ชวนทานข้าวร่วมโต๊ะ แต่ท่านจงกลัวมือของประชาชนที่จะไม่สนับสนุนท่านต่อในวันที่ท่านหมดอำนาจ” ณัฐชาระบุ
ณัฐชาทิ้งท้ายถึง สส. ว่า ได้โปรดตัดสินใจลงคะแนนด้วยมือที่ประชาชนมอบให้ ลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เพื่อที่จะหันหน้ามองประชาชนในเขตพื้นที่ท่านได้อย่างภาคภูมิใจ และแสดงเจตจำนงที่เราจะไม่ยอมให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่หน้าไหนมากัดกินและกอบโกยเอาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของประเทศชาติ แม้จะเป็นความยากลำบากในการตัดสินใจ แต่หากทุกท่านในที่นี้ กล้าที่จะลงคะแนนไม่ไว้วางใจอย่างเด็ดเดี่ยว ใช้อำนาจอย่างเต็มที่ที่ได้มาจากประชาชน ต่อกรกับกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ที่สิงรัฐบาลอยู่
“ต่อสู้กับผู้ควบคุมรัฐบาลนี้ ที่คอยบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ เดินหมากทุกกลไกของประเทศ ใช้อำนาจทุกอย่างอย่างแท้จริง เปรียบเสมือนอยากเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง แต่ทำไม่ได้ เลยต้องใช้ชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า สทร. หรือชื่อแท้จริง คือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญตัวจริง ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เรามาจบดีลแลกประเทศนี้ไปพร้อมๆ กันเถอะ” ณัฐชาทิ้งท้าย