วันนี้ (19 มีนาคม) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาห้ามกรมธนารักษ์ดำเนินการขึ้นทะเบียนที่ดินพุทธมณฑล เนื้อที่ 2,500 ไร่ เป็นที่ราชพัสดุ หลังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยื่นฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าที่ดินดังกล่าวเป็นศาสนสมบัติกลางและเป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา ไม่เข้าข่ายเป็นที่ราชพัสดุตามกฎหมาย
สำหรับข้อพิพาทเรื่องสถานะของที่ดินพุทธมณฑล สืบเนื่องจาก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาและพัฒนาที่ดินพุทธมณฑล ได้ฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลาง โดยให้เหตุผลว่า ที่ดินดังกล่าวถือเป็น ศาสนสมบัติกลาง ตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา แต่กรมธนารักษ์พยายามนำที่ดินแปลงนี้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ โดยอ้างอำนาจตามมาตรา 8 และมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562
ด้านกรมธนารักษ์ชี้แจงว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 7) เคยมีความเห็นว่าพุทธมณฑลเป็นที่ดินที่ใช้ในกิจการของรัฐด้านพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรม และมิได้จำกัดเฉพาะกิจการของคณะสงฆ์ จึงเข้าข่ายเป็นที่ราชพัสดุ โดยสำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐมได้ดำเนินการสำรวจรังวัดและจัดทำแผนที่ เพื่อเตรียมนำที่ดินขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ
ศาลชี้ขาด: พุทธมณฑลเป็นศาสนสมบัติกลาง ไม่ใช่ที่ราชพัสดุ
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า พุทธมณฑลสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยพิจารณาจากหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า
- พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงรับซื้อที่ดินจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 135 ไร่ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
- ประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธา ร่วมบริจาคเงินจำนวน 2,764,256.82 บาท เพื่อซื้อที่ดินและสร้างพระพุทธรูป
- อูนุ นายกรัฐมนตรีพม่า มอบเงินจำนวน 50,000 จัตสมทบทุน
- รัฐบาลไทยระดมทุนเพิ่มเติมโดยจำหน่ายพระเครื่อง พระพุทธรูป แสตมป์ ปฏิทิน และเสมาที่ระลึก
จนได้ที่ดินรวม 2,205 ไร่ 96 ตารางวา ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์ถวายให้แก่พระศาสนา แต่ยังขาดอีก 294 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา รัฐบาลจึงดำเนินการเวนคืนที่ดินเพิ่มให้ครบ 2,500 ไร่ โดยมีเป้าหมายให้การจัดสร้างพุทธมณฑลสำเร็จลุล่วง มิได้มีเจตนานำที่ดินไปใช้ประโยชน์ของแผ่นดินหรือทางราชการ
ศาลจึงรับฟังเป็นที่สิ้นสุดว่า พุทธมณฑลเป็นพุทธสถานที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนา และที่ดินดังกล่าวเป็น ศาสนสมบัติกลาง ตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
กรมธนารักษ์ไม่มีอำนาจนำที่ดินขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ
เมื่อศาลวินิจฉัยแล้วว่าที่ดินพุทธมณฑลเป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา และ ไม่ใช่ที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์จึง ไม่มีอำนาจดำเนินการขึ้นทะเบียน หรือมีคำสั่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินการสำรวจที่ดินเพื่อส่งขึ้นทะเบียน
ดังนั้นการที่สำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐมมีหนังสือให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำรวจรังวัดและจัดทำแผนที่ที่ดินพุทธมณฑลเพื่อนำขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ ถือเป็นการกระทำที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลจึงมีคำพิพากษา ห้ามกรมธนารักษ์ดำเนินการขึ้นทะเบียนที่ดินพุทธมณฑลเป็นที่ราชพัสดุ โดยคำขออื่นให้ยก
คำพิพากษานี้มีผลให้ที่ดินพุทธมณฑลยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ รักษาสถานะเป็นศาสนสมบัติกลาง โดยหน่วยงานภาครัฐไม่สามารถนำที่ดินแปลงนี้ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาได้
สรุปศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ กรมธนารักษ์ยุติการขึ้นทะเบียนที่ดินพุทธมณฑลเป็นที่ราชพัสดุ โดยตัดสินว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นศาสนสมบัติกลางของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐ ตามกฎหมายที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562