วันนี้ (17 มีนาคม) ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ .. พ.ศ. ….) ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญได้พิจารณาแก้ไข 5 มาตรา โดยเฉพาะ มาตรา 4 ที่ให้โอนคดีทุจริตของกองทัพไปให้อัยการสูงสุดดำเนินการ แต่ยังคงอำนาจศาลทหารในการพิจารณาคดีของเจ้าหน้าที่กองทัพในช่วงเปลี่ยนผ่าน
กรรมาธิการเสียงข้างน้อยและสมาชิกรัฐสภาบางส่วนเห็นว่า การคงอำนาจศาลทหารขัดต่อหลักความยุติธรรมสากล และอาจทำให้จำเลยใช้ช่องว่างกฎหมายในการประวิงเวลา ศาลยุติธรรมเสนอให้โอนคดีทุจริตทั้งหมดไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเพื่อความเป็นอิสระและเสมอภาค
ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ ชี้แจงว่า หลักการร่างกฎหมายที่รัฐสภารับไป คือให้ยกเลิกอำนาจของอัยการสูงสุดที่ดำเนินคดีในศาลทหาร และเขียนบทรองรับให้โอนอำนาจศาลทหารในคดีอาญาทุจริตที่มีอยู่ก่อน พ.ร.ป.ฯ ใช้บังคับ โอนให้อัยการสูงสุดในศาลอาญาคดีทุจริตพิจารณา ทั้งนี้ ยอมรับว่า กรรมาธิการเสียงข้างมากแก้ไขเนื้อหาตามหลักการ แต่สิ่งที่พบคือจะเป็นปัญหา หากเห็นชอบโอนคดีให้อัยการสูงสุดทำในศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบจะปฏิบัติไม่ได้ เพราะแม้จะโอนคดีที่มีก่อนหน้าไปแล้ว แต่คดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะทำอย่างไร ซึ่งตัวแทนศาลยุติธรรมให้ความเห็นอย่างมีน้ำหนัก คือ มีปัญหาต่อการบังคับใช้ เพราะไม่มีบทบังคับที่รองรับเขตอำนาจในคดีที่อาจเกิดในอนาคต
รัฐสภาคว่ำร่างกฎหมาย ตีตกโอนคดีทหารไปศาลอาญาคดีทุจริต
เมื่อสมาชิกมีความเห็นแย้งกันจึงต้องลงมติตัดสิน ปรากฏว่าเสียงข้างมาก 456 เสียงเห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ไม่เห็นด้วย 6 เสียง งดออกเสียง 138 เสียง และในการลงมติว่าจะเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก หรือเสียงข้างน้อย พบว่ามติเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก มีเพียง 24 เสียง และเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างน้อย 167 เสียง มีผู้งดออกเสียงมากถึง 410 เสียง
ทำให้เนื้อหาของมาตรา 4 ถูกแก้ไขตามมติของรัฐสภา ให้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีบุคคล ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารในความผิดคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และบรรดาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่อยู่ในระหว่างการดำเนินคดีของอัยการทหาร
จากนั้น ที่ประชุมรัฐสภาได้ลงมติในวาระ 3 โดยที่ประชุมมีมติเห็นด้วย 163 เสียง ไม่เห็นด้วย 415 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง จึงถือว่าประชุมแห่งนี้ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.ป. ฉบับดังกล่าว เนื่องจากคะแนนไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ทำให้ร่าง พ.ร.ป. ฉบับนี้เป็นอันตกไป ซึ่งเป็นร่างที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นผู้เสนอ
วิโรจน์จวกพรรคเพื่อไทยเนรคุณคนเสื้อแดง
ต่อมา วิโรจน์กล่าวถึงมติของรัฐสภาที่คว่ำร่างกฎหมายนี้ โดยระบุว่า สาระสำคัญ ของกฎหมายฉบับนี้ หากการกระทำทุจริต ปกติแล้วข้าราชการพลเรือน จะขึ้นศาลอาญาทุจริตมีเพียงทหารหรือข้าราชการกลาโหมเท่านั้น ที่ขึ้นศาลทหาร ที่ผ่านมา มีหลายคดีที่มีข้อสงสัยและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ถึงความอิสระในการพิจารณาคดี หลายกรณีทุจริตต่อแผ่นดิน ต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน
ส่วนตัวรู้สึกผิดหวังอย่างมากต่อบทบาทของพรรคเพื่อไทย เพราะรู้ดีที่สุดว่า ศาลทหารมีความยุติธรรมมากน้อยเพียงใด และเป็นปัญหาอย่างไร เกี่ยวกับปัญหาทุจริตโดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ที่เป็นดังผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ให้กับพรรคเพื่อไทย เหตุการณ์วันนี้ เป็นหลักฐานที่ชัดเจน ภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าไม่มีความจริงใจ ที่จะปฏิรูปบ้านเมือง ไปสู่ประชาธิปไตย ที่หลุดจากเงื้อมมือของทหารและอำนาจที่มองไม่เห็น
“ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่ชี้ชัดว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีความจริงใจที่จะเปลี่ยนผ่านให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ระบบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ หลุดจากเงื้อมมือลายพราง ยังคงหงอกับอำนาจมืดลายพรางที่อยู่เบื้องหลัง”
วิโรจน์ย้ำว่า นี่เป็นร่องรอยความหวาดกลัว หากในอนาคตทหารกระทำการย่ำยีบีฑาประชาชน คดโกงประเทศชาติบ้านเมือง กลัวที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแบบตรงไปตรงมาในศาลอาญาทุจริต โดยที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นนั่งร้านให้กับอำนาจลายพราง ลืมความเสียสละ ลืมความต่อสู้ ลืมผนังทองแดงกำแพงเหล็กของประชาชนคนเสื้อแดงหมดสิ้นแล้ว
“วันนี้ยิ่งกว่าตระบัดสัตย์ ไม่รู้คุณคน เนรคุณเสื้อแดง ไปถามคนเสื้อแดงได้ว่ารู้สึกอย่างไรกับการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ ไม่รู้บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของคนเสื้อแดง เสียข้าวสุกที่คนเสื้อแดงเอามาป้อน แย่มาก อดสูที่สุด ผมต้องการคำตอบจาก ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว และ สส.ที่เคยต่อสู้ร่วมกับคนเสื้อแดงว่า คุณไม่รู้สึกสมเพชหรืออดสูตัวเองหรือ น่าผิดหวังมาก ไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่าวันนี้แล้ว“ วิโรจน์ทิ้งท้าย
เพื่อไทย มี ‘ชลน่าน’ เห็นชอบคนเดียวทั้งพรรค
ผู้สื่อข่าวรายงานผลการลงมติที่ประชุมรัฐสภา มีมติเสียงข้างมาก 415 เสียง ตีตกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.( ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่. … พ.ศ. …) พบว่า พรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่ ไม่เห็นชอบ มีเพียง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่ลงมติเห็นด้วย และ โกศล ปัทมะ สส.นครราชสีมา งดออกเสียง
ขณะที่พรรคประชาชน ส่วนใหญ่ เห็นชอบ และพบว่า ไม่มีการลงมติจำนวน 13 คน
สำหรับพรรคภูมิใจไทย ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย มีเพียง อลงกต มณีกาศ สส.นครพนม ที่ลงมติเห็นชอบ
สส. พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคกล้าธรรม ชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนา ส่วนใหญ่ ไม่เห็นชอบ
ส่วนพรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคพลังประชารัฐ เห็นชอบ เพียงแค่ 4 คน คือ กระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ สส.หนองคาย, คอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี, ชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร และ วิริยะ ทองผา สส.มุกดาหาร พรรคไทยสร้างไทย เห็นชอบ 3 คน คือ ชัชวาล แพทยาไทย สส.ร้อยเอ็ด, รำพูล ตันติวณิชชานนท์ สส.อุบลราชธานี และ ฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ เห็นชอบ
ด้าน สว. ส่วนใหญ่ ไม่เห็นชอบ อาทิ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1, พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร มีเพียง 24 คนที่เห็นชอบ ซึ่งส่วนมากเป็น สว.ในกลุ่มพันธุ์ใหม่ และมี 10 คนที่งดออกเสียง อาทิ บุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2, ปริญญา วงษ์เชิดขวัญ