เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY เกิดจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น (การขยายสาขาท่ามกลางยอดขายสาขา (SSS) ในร้านโฮมโปรที่หดตัวลง 0.8%YoY และ SSS ในร้านเมกาโฮมที่เติบโต 4.5%YoY) อัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้น จากส่วนผสมของยอดขายที่มีอัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้น และอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A / ยอดขายที่ลดลง
ทั้งนี้ หลังจากจ่ายเงินปันผลงวด 1H67 ที่ 0.18 บาทต่อหุ้น HMPRO ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H67 ที่ 0.25 บาทต่อหุ้น (XD วันที่ 22 เมษายน) สะท้อนถึงอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้นที่ 87% ในปี 2567 จาก 82% ในปี 2566
เป้าหมายปี 2568 การขยายสาขา ในปี 2568 HMPRO ตั้งเป้าเร่งการขยายสาขาจาก 8 สาขาในปี 2567 เป็น 12 สาขา (โฮมโปร 7 สาขา และเมกาโฮม 5 สาขา, 2 สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 10 สาขาในต่างจังหวัด, โดยตั้งเป้าเปิด 1 สาขาใน 2Q68 และ 11 สาขาใน 2H68)
โดยสาขาใหม่ 6-8 สาขาจะเป็นสาขาแบบไฮบริด (เมกาโฮมใหม่และโฮมโปรใหม่ตั้งอยู่ติดกัน และ/หรือ เปิดเมกาโฮมใหม่/โฮมโปรใหม่ติดกับโฮมโปร/เมกาโฮมสาขาเดิม)
เหตุผลในการเร่งขยายสาขาแบบไฮบริด (เทียบกับ 7 สาขา ณ สิ้นปี 2567) คือ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ในรูปของ:
- การลงทุนที่ลดลงสำหรับสาขาใหม่ (ใช้ที่ดินที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ของสาขาเดิมที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี)
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ต่ำกว่าสาขาปกติผ่านการใช้ที่จอดรถ เคาน์เตอร์แคชเชียร์ และการจ้างพนักงานภายนอกร่วมกัน
- การจัดสรรพื้นที่สำหรับสินค้าที่ทับซ้อนกันได้ดีขึ้น เช่น พื้นที่ขายที่น้อยลงสำหรับสินค้าฮาร์ดไลน์ของโฮมโปรและสินค้าซอฟต์ไลน์ของเมกาโฮมในสาขารูปแบบไฮบริด
- การแย่งลูกค้ากันเองค่อนข้างน้อย โดยยอดขายของสาขาใหม่ (แบรนด์ต่างกัน) จะเติบโตจากฐานลูกค้าของสาขาเดิม งบลงทุน (CAPEX) อยู่ที่ 7-8 พันล้านบาท
ด้านยอดขาย HMPRO ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 5-7%YoY จากการขยายสาขาและการเติบโตของ SSS (เพิ่มขึ้น 2-3%YoY โดยส่วนใหญ่จะเห็นได้ใน 2H68 เนื่องจากบริษัทวางแผนเปิดสาขาใหม่แบบไฮบริด ซึ่งจากคำจำกัดความของ SSS ยอดขายจากสาขาใหม่ที่อยู่ติดกับสาขาเดิมจะนับเป็น SSS สำหรับสาขาเดิม)
อัตรากำไรขั้นต้น HMPRO วางแผนขยายอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2568 อีก 20bps ผ่านทาง:
- การเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้า Private Brand ต่อยอดขายรวมเป็น 22% สำหรับทั้งโฮมโปรและเมกาโฮมในปี 2568 (เทียบกับ 21.1% สำหรับโฮมโปร และ 20.9% สำหรับเมกาโฮม ในปี 2567)
- อำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ที่มากขึ้น บริษัทตั้งเป้าอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A / ยอดขายคงที่ในปี 2568 โดยค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายพนักงานที่สูงขึ้นจากสาขาใหม่จะถูกชดเชยด้วยการคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ จากการขยายสาขาแบบไฮบริดมากขึ้น
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น HMPRO ปรับลง 1.18% สู่ 8.35 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 1.96% สู่ 1,206.96 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ยอดขายสาขา (SSS) ในร้านโฮมโปร (80% ของยอดขาย) หดตัวลง 2.5%YoY (ไม่รวมวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567) จากผลกระทบเชิงลบของมาตรการ e-Receipt ในปีนี้ เนื่องจากยอดใช้จ่ายสำหรับกลุ่มสินค้าและบริการทั่วไปสูงสุดที่ลดหย่อนภาษีได้ลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ 30,000 บาท และจำนวนวันของมาตรการในปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ 44 วัน (เทียบกับ 50,000 บาท และ 46 วัน ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567) หรือลดลง 4%YoY (รวมวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567)
ในขณะที่ SSS ในร้านเมกาโฮม (17% ของยอดขาย) เติบโต 1%YoY (ไม่รวมวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567) หรือลดลง 1%YoY (รวมวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567) HMPRO คาดว่า SSS จะชะลอตัวลงในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังมาตรการ E-receipt สิ้นสุดลง จากนั้นจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ
InnovestX Research คงคำแนะนำ Outperform สำหรับ HMPRO โดยปรับราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF (WACC ที่ 7.1% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ใหม่เป็น 10.5 บาทต่อหุ้น (จาก 13 บาท) หลังจากปรับประมาณการกำไรปี 2568 ลดลง และปรับสมมติฐาน SSS Growth ในระยะยาวลดลง
ปัจจุบันหุ้น HMPRO ซื้อขายที่ P/E ปี 2568 ระดับ 16 เท่า โดยมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 5% ช่วยป้องกัน Downside ของราคาหุ้น
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและนโยบายรัฐบาลใหม่ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญคือ การบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และการบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน และความปลอดภัยของข้อมูล (S)
HMPRO – 4Q67 กำไรเป็นไปตามที่ตลาดคาด: https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/research/company-analysis/company-update/hmpro-update-20250306