วงการไวน์โลกกำลังเผชิญหน้ากับพายุลูกใหญ่ รายงานล่าสุดจาก Knight Frank บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ชี้ให้เห็นว่าราคาไร่องุ่นทั่วโลกกำลังร่วงระนาว บางแห่งดิ่งลงถึงหนึ่งในสาม หรือกว่า 30% ในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากอุปทานไวน์ล้นตลาดสวนทางกับความต้องการบริโภคที่ลดลงอย่างน่าใจหาย
Knight Frank ระบุในรายงานความมั่งคั่งล่าสุดว่า “ภูมิภาคไร่องุ่นสำคัญๆ ของโลกแทบไม่มีที่ใดรอดพ้นจากผลกระทบ” จากการบริโภคไวน์ที่ซบเซาโดยเสริมว่า การบริโภคไวน์ทั่วโลก ‘ลดลง’ ถึง 12% จากจุดสูงสุดในปี 2007
นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่สาหัสที่สุด Kurt Lindsay จาก Bayleys พันธมิตรท้องถิ่นของ Knight Frank เผยว่า ราคาไร่องุ่นในภูมิภาค Marlborough ของนิวซีแลนด์ทรุดลงถึง 33% เมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่เคยพุ่งสูงสุดในปี 2023 ขณะที่ราคาในภูมิภาค Napa Valley รัฐแคลิฟอร์เนีย ลดลง 15% ส่วนไร่องุ่นใน Barossa Valley ของออสเตรเลีย และ Côtes du Rhone ของฝรั่งเศส ราคาร่วงลงเท่ากันที่ 10%
ผู้ผลิตไวน์กำลังต่อสู้กับรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z ที่หันไปดื่มเครื่องดื่มอื่นๆ หรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ไปเลย ข้อมูลจาก Nielsen ชี้ว่า คน Gen Z ในฝรั่งเศส ดื่มไวน์ต่อหัว ‘เพียงครึ่งเดียว’ เมื่อเทียบกับคนรุ่น Millennials ตอนปลาย
อุตสาหกรรมไวน์ยังต้องเผชิญกับอุปสงค์ที่ลดลงอย่างฮวบฮาบจากจีนหนึ่งในตลาดส่งออกหลัก รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหาองุ่นล้นตลาดในบางภูมิภาค
Knight Frank ระบุว่า การผลิตไวน์ลดลงไปแล้วถึงหนึ่งในห้าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ผู้ผลิตไวน์จำนวนมากยังคงกอดสต็อกสินค้าที่ล้นเกินไว้ สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาไวน์ ‘bulk’ หรือไวน์ที่ขนส่งในตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ และนำไปบรรจุขวด ณ จุดหมายปลายทาง
Lindsay กล่าวว่า สินค้าคงค้างที่ล้นในภูมิภาค Marlborough ของนิวซีแลนด์ ทำให้ราคาไวน์ bulk ‘ดิ่ง’ ลงจาก 7 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ หรือราว 133 บาท เหลือเพียง 3 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ หรือราว 57 บาทต่อลิตร
Eduardo Jordán หัวหน้าทีมผลิตไวน์ที่ Miguel Torres เผยกับ Financial Times ว่า ในชิลีราคาองุ่นพันธุ์ País สำหรับทำไวน์ bulk ตกต่ำเหลือเพียง 9 เซนต์สหรัฐ หรือราว 3 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อปีที่แล้วซึ่งต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ครึ่งหนึ่ง
อุปสงค์ที่ซบเซาส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตไวน์ในตลาดหลักทรัพย์
รวมถึง Constellation Brands ในสหรัฐฯ และ Treasury Wine Estates ในออสเตรเลีย Timothy Ford ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Treasury Wine Estates กล่าวในการแถลงผลประกอบการในช่วง 6 เดือนสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2024 ว่า ยอดขาย “กลุ่มผลิตภัณฑ์ไวน์พรีเมียมและไวน์ทั่วไปของเราลดลงประมาณ 5%” โดยบริษัทชี้ไปที่ “อุปสงค์ไวน์ระดับราคาล่างที่ยังคงอ่อนแอทั่วโลก”
Garth Hankinson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Constellation Brands กล่าวในการแถลงผลประกอบการเมื่อเดือนมกราคมว่า อุปสงค์ที่อ่อนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ‘กลุ่มไวน์ราคาถูกกว่า’ และปัญหาที่ผู้ค้าปลีกที่ต้องดิ้นรนในการระบายสินค้าคงคลัง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ยอดส่งมอบไวน์และสุราลดลง 16.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ในไตรมาสที่ 3 ของบริษัท
Jordán กล่าวว่า ผู้ผลิตองุ่นบางราย กำลัง ‘หัน’ ไปปลูกผลไม้หรือผักแทน เนื่องจากอุปสงค์ไวน์ที่ตกต่ำ “ทางตอนเหนืออากาศ ‘แห้งแล้ง’ มาก เช่นนั้นจึงสามารถหันไปปลูกมะกอกได้ ใกล้ๆ กับเราใน Curico เชอร์รีเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
Knight Frank ระบุว่า ในภูมิภาค Mendoza ของอาร์เจนตินาไร่องุ่นกำลังถูกแทนที่ด้วยพืชผัก โดยกระเทียมกลายเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคไปแล้ว การเปลี่ยนพืชเพาะปลูก ไปปลูกมะกอก หรือแม้แต่แผงโซลาร์เซลล์ ยังกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นใน Bordeaux ซึ่งผู้ผลิตไวน์ระดับล่างต้องดิ้นรนอย่างหนักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าราคาไร่องุ่นทั่วโลกหลายแห่งจะตกต่ำ แต่ไร่องุ่นระดับพรีเมียมยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ รวมถึงภูมิภาค Champagne ของฝรั่งเศส ในสหราชอาณาจักร เจ้าของไร่องุ่นใน Essex ได้รับอานิสงส์จากราคาที่พุ่งขึ้น 20% เมื่อปีที่แล้ว
Knight Frank เสริมว่า รูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปกำลังส่งเสริมบางภูมิภาค “เรากำลังเห็นราคาไร่องุ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากขึ้นในเขตปกครอง เช่น Essex ที่ผู้ปลูกกำลังทดลององุ่นพันธุ์ต่างๆ เพื่อสร้างไวน์ Rosé และไวน์แดงแบบ Still Wine”
อ้างอิง: