ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสินทรัพย์ดิจิทัล หลังจากที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศแนวทางการออก Stable Coin ไทยบาท มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท โดยมีพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลักประกัน และจะถูกนำมาใช้ควบคู่กับ Investment Token เพื่อเปิดทางให้ภาคเอกชนสามารถระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลได้
ฟังดูเป็นก้าวที่น่าสนใจและอาจเป็นการเปิดโอกาสให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาค อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวยังเต็มไปด้วยโจทย์ท้าทาย ทั้งในแง่ของโครงสร้างพื้นฐานด้านบล็อกเชน (Blockchain Interoperability) กฎระเบียบเกี่ยวกับการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล และโอกาสทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นหรือสูญเสียไป ขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยจะเลือกเดินไปในทิศทางไหน
โจทย์แรก: Blockchain ไทยจะก้าวไปสู่ระดับสากลได้หรือไม่?
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยคือปัญหาการเชื่อมโยงระหว่างบล็อกเชน (Interoperability) ปัจจุบันประเทศไทยมี Local Blockchain ได้แก่ Bitkub Chain, JFIN Chain และ JIB Chain
แต่สิ่งที่ยังขาดคือความสามารถในการสื่อสารกันระหว่าง Chain ซึ่งอาจทำให้เกิดข้อจำกัดในการพัฒนาโทเคนดิจิทัลและสินทรัพย์ดิจิทัลภายในประเทศ ในขณะที่โครงการระดับโลกอย่าง LayerZero, Axelar และ Connext กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ Blockchain จากหลากหลายระบบสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
หากประเทศไทยต้องการแข่งขันในตลาดโลก กุญแจสำคัญอยู่ที่การสร้างเครือข่าย Blockchain ที่เชื่อมโยงและเปิดกว้าง ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนา Chain ของตัวเองโดยไม่มีการรองรับมาตรฐานสากล
โจทย์ที่สอง: ระบบ KYC และข้อจำกัดในการเข้าถึง
อีกประเด็นที่น่าจับตามองคือการกำหนดข้อบังคับเรื่อง KYC (Know Your Customer) ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับการนำผู้ใช้จาก Traditional Finance มาอยู่ในโลกของ On-Chain Finance
แนวคิด ‘Chain เอื้ออาทร’ ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำลังพิจารณา อาจช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้ง่ายขึ้น แต่หากมีการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ใช้งานทุกคนต้องผ่าน KYC ก่อนเข้าถึงระบบ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยเติบโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น
ในทางตรงกันข้าม แพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Base Chain ของ Coinbase เปิดให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้โดยไม่มี KYC ซึ่งช่วยให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบได้อย่างมหาศาล และทำให้ Base Chain กลายเป็นหนึ่งใน Blockchain ที่มีมูลค่าหมุนเวียนสูงสุดในโลก
หากประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางของสินทรัพย์ดิจิทัล จำเป็นต้องพิจารณาว่าจะเลือกควบคุมเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย หรือจะเปิดตลาดให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นเพื่อกระตุ้นการเติบโต
โจทย์ที่สาม: จะดึงนักลงทุนจากตลาดหุ้นได้หรือไม่?
หนึ่งในความหวังสำคัญของการออก Stable Coin และ Investment Token คือการดึงดูดนักลงทุนจากตลาดหุ้นแบบดั้งเดิมให้เข้ามาสู่สินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแนวคิด Corporate Bond Token ซึ่งเป็นการแปลงหุ้นกู้ให้กลายเป็นโทเคนดิจิทัลที่สามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมงผ่าน Decentralized Exchange (DEX)
แนวคิดนี้ฟังดูดีในทางทฤษฎี แต่ยังต้องติดตามว่านักลงทุนฝั่งตลาดทุนจะเชื่อมั่นกับการลงทุนในรูปแบบดิจิทัลนี้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความผันผวนของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล และปัญหาทางกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจน
ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย: ทางแยกของ ก.ล.ต.
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก.ล.ต. จะต้องตัดสินใจครั้งสำคัญว่าจะเลือกแนวทางใดในการกำกับดูแลตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
ทางเลือกที่ 1: ควบคุมเข้มงวด
- ควบคุม Blockchain, DeFi และ DApp อย่างเข้มงวด
- บังคับใช้ KYC และมาตรการป้องกันความเสี่ยง
- ตรวจสอบโค้ดของ Smart Contract เพื่อป้องกันการโกง
ทางเลือกที่ 2: เปิดเสรีและให้ตลาดกำกับตัวเอง
- อนุญาตให้ภาคเอกชนดูแลด้านความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม
- เปิดให้ผู้ใช้จากทั่วโลกเข้าถึง Blockchain ไทย
- มีโอกาสที่เม็ดเงินมหาศาลจะไหลเข้ามา
หากเลือกแนวทางแรก ตลาดจะมีความปลอดภัยขึ้น แต่การดึงดูดผู้ใช้ใหม่จะยากขึ้น ในขณะที่หากเลือกแนวทางที่สอง ไทยอาจกลายเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก แต่ก็มีความเสี่ยงจากช่องโหว่ทางเทคนิคและการโกง
Stable Coin ไทย: จะเป็นโอกาสใหม่หรือข้อจำกัดที่มองข้ามไม่ได้?
ท้ายที่สุด Stable Coin ไทยบาท 1 หมื่นล้านบาท อาจเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเต็มตัว แต่ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับกรอบนโยบายที่กำหนดโดยภาครัฐ
- หากรัฐบาลและ ก.ล.ต. สามารถสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมอุตสาหกรรมและการปกป้องนักลงทุน ประเทศไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของเอเชีย
- แต่หากกฎระเบียบเข้มงวดเกินไป ตลาดอาจหดตัว และโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะนำเม็ดเงินเข้าสู่ไทยอาจหายไป
นี่คือช่วงเวลาที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่การตัดสินใจของหน่วยงานกำกับดูแลว่าจะเลือกเส้นทางใด เปิดตลาดให้แข่งขันระดับโลก หรือสร้างเกราะป้องกันที่อาจจำกัดโอกาสของประเทศในอนาคต