×

เมื่อทรัมป์มาโลกป่วน แต่ความยั่งยืนต้องเดินหน้าต่อ

29.01.2025
  • LOADING...
ทรัมป์ ความยั่งยืน

HIGHLIGHTS

  • ทันทีที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 อย่างเป็นทางการ ก็ประกาศยกเลิกความตกลงปารีส และมุ่งขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งสวนทางหลายประเทศ ขณะเดียวกันแบงก์สหรัฐฯ-แคนาดา ก็ถอนจากกลุ่ม The Net-Zero Banking Alliance (NZBA)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยว่า แม้แบงก์สหรัฐฯ ถอนจาก NZBA แต่ยังหนุนลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชี้ 4 ปี (2021-2023) 6 แบงก์สหรัฐฯ สนับสนุนการเงินเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้วกว่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • จึงมั่นใจได้ว่าสหรัฐฯ จะลุยพลังงานสะอาดต่อ เหตุหลายมลรัฐยังได้ประโยชน์จากเงินหนุนผ่านมาตรการ Inflation Reduction Act (IRA) ส่วนไทยไม่ได้อยู่ NZBA และยังเดินหน้า Net Zero ภายในปี 2065
  • ดร.กอบศักดิ์ มองการถอนจาก Net Zero ของแบงก์ใหญ่สหรัฐฯ เป็นเพียงชั่วครู่ เพราะเรื่องความยั่งยืนเป็นเทรนด์อนาคตที่สำคัญ ยิ่งดูจากสถานการณ์ปัจจุบันจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น
  • ข้อมูล TDRI ระบุว่า หากไม่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก มนุษย์ต้องเจอหายนะหลายเรื่องกับทุกอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น อาจเกิดผู้ลี้ภัยทางภูมิอากาศเป็น 150 ล้านคนในอีก 30 ปี ที่มาพร้อมกับการแย่งชิงความมั่นคงทางอาหาร แนะถึงเวลาที่ต้องเรียนรู้กับการปรับตัวอยู่กับโลกที่ร้อนขึ้น

ตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยที่ 2 วันแรก เสียงแจ้งเตือนความผันผวนและความไม่แน่นอนต่อนโยบายก็กระหึ่มไปทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบมากด้านการค้าระหว่างประเทศ จนกลายเป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด รวมถึงนโยบายที่สวนทางคนอื่นเรื่องสนับสนุนการลดโลกร้อน หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

ทรัมป์สวนทางทั่วโลก ลดหนุนนโยบายโลกร้อน

 

ทรัมป์เริ่มต้นช็อกโลกด้วยการถอนตัวจากความตกลงปารีส ที่เป็นกรอบความร่วมมือของสหประชาชาติที่ต้องการลดอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นให้น้อยกว่า 2 องศาเซลเซียส ภายใต้นโยบาย Putting America First in International Environmental Agreement ซึ่งทรัมป์เคยยกเลิกครั้งหนึ่งตอนเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกเมื่อปี 2017 ก่อนที่ไบเดนจะกลับเข้าร่วมความตกลงปารีสใหม่

 

รวมถึงยกเลิก Electric Vehicle Mandate ของไบเดนที่เป็นข้อกำหนดของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) โดยยกเลิกกฎให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องเริ่มลดการปล่อยมลพิษรถยนต์ขนาดเล็กลงครึ่งหนึ่งตั้งแต่ปี 2027 ซึ่งอาจรวมถึงยกเลิกเครดิตภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าด้วย จากนโยบาย Unleashing American Energy

 

ตามมาด้วยการกลับมาพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก ด้วยการขุดเจาะหาก๊าซธรรมชาติ LNG และน้ำมันเบนซินเพิ่ม โดยให้ยกเว้นกฎด้านสิ่งแวดล้อมหลายข้อที่เป็นอุปสรรคหรือจำกัดการขุดเจาะ พร้อมสั่งให้หน่วยงานของรัฐสนับสนุนการขุดเจาะอย่างจริงจัง ซึ่งปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวและน้ำมันเบนซินรายใหญ่ที่สุดในโลก ตามนโยบาย Declaring a National Energy Emergency และ Unleashing Alaska’s Extraordinary Resource Potential

 

แบงก์สหรัฐฯ-แคนาดา ถอย The Net-Zero Banking Alliance

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี 1 เดือน ธนาคารหลายแห่งในสหรัฐฯ ประกาศถอนตัวจากกลุ่ม The Net-Zero Banking Alliance (NZBA) ตามการหาเสียงของทรัมป์ที่พูดไว้ว่าจะถอนตัวจากความตกลงปารีส และยกเลิกคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการจำกัดขุดเจาะปิโตรเลียม ซึ่งมีธนาคารทั้งหมด 6 แห่งคือ Goldman Sachs, Wells Fargo , Morgan Stanley, Citigroup, Bank of America และ JPMorgan Chase อีกทั้งยังมีธนาคารในหลายประเทศที่กำลังพิจารณาถอนตัวออกมาเช่นกัน เช่น ธนาคารในแคนาดา 5 แห่ง ก็ประกาศถอนตัวจาก NZBA ในวันที่ทรัมป์รับตำแหน่ง ได้แก่ Bank of Montreal, Toronto-Dominion Bank, National Bank of Canada, Canadian Imperial Bank of Commerce และ Bank of Nova Scotia

 

ทั้งนี้ เงื่อนไขแบงก์ที่เข้ากลุ่ม NZBA ต้องมีการดำเนินการดังนี้

  1. ตั้งเป้าหมายลด GHG ภายในปี 2030 และบรรลุ Net Zero ในปี 2050
  2. ลดการปล่อย GHG จากการดำเนินการของธนาคารและลูกค้าที่รับสินเชื่อและเงินลงทุนในพอร์ตธนาคาร
  3. ลดให้เงินสนับสนุนอุตสาหกรรมถ่านหินและขุดเจาะปิโตรเลียม

และ 4.ต้องรายงานความคืบหน้าการปฏิบัติทุกปี

 

ออกจาก NZBA แต่ยังสนับสนุนเรื่องลด GHG

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี มีการฟ้องศาลและเสนอกฎหมายต่อต้าน ESG ว่า นโยบายลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) ของสถาบันการเงินหลายแห่งมีการเลือกปฏิบัติ และขัดขวางการดำเนินธุรกิจอย่างเสรีของอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมันและถ่านหิน ซึ่งการเสนอกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา ประกอบกับยังมีรัฐในสหรัฐฯ ที่มีการฟ้องร้องหรือออกกฎหมายต่อต้าน ESG จำนวน 22 รัฐ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สถาบันการเงินชั้นนำมองว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีการฟ้องร้องมากขึ้น ตลอดช่วงระยะเวลา 4 ปี (2025-2029) ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จึงเป็นเหตุผลให้สถาบันการเงินเลือกลดความเสี่ยงการดำเนินธุรกิจไปก่อน

 

อย่างไรก็ดี แม้จะมีธนาคารที่ออกจากกลุ่ม NZBA แต่ธนาคารจะยังคงสนับสนุนลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านไปสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกเหมือนเดิม โดยอาจมีการปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจของลูกค้าซึ่งล้วนมีบริบทที่แตกต่างกัน โดยนับตั้งแต่ปี 2021-2023 ธนาคาร 6 แห่งในสหรัฐฯ มีการสนับสนุนทางด้านการเงินสำหรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้วกว่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และน่าจะยังคงให้การสนับสนุนต่อ

 

สหรัฐฯ ยังลงทุนพลังงานสะอาดต่อเนื่อง

 

การถอนตัวจากกลุ่ม NZBA ของกลุ่มธุรกิจบริการด้านการเงินหลายแห่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการเพื่อลด GHG แต่ก็ถือว่าแสดงให้เห็นถึงบริบทที่เปลี่ยนไปตามนโยบายของผู้นำประเทศ ที่อาจทำให้ธุรกิจบริการด้านการเงิน ทั้งธนาคาร กองทุน ประกัน หรือธุรกิจด้านการเงินอื่นๆ ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ ต้องทบทวนแนวนโยบายด้านการลด GHG เพื่อพร้อมรับนโยบายที่เปลี่ยนไปของ โดนัลด์ ทรัมป์

 

และท้ายที่สุดก็ยังเชื่อว่าสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าการลงทุนพลังงานสะอาดที่ให้มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นต่อไป หลังจากที่เน้นการลงทุนเรื่องนี้มาต่อเนื่อง ตั้งแต่ที่ บารัก โอบามา เป็นประธานาธิบดี โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยไตรมาสละ 7% แล้วยิ่งเมื่อประธานาธิบดีไบเดนออกมาตรการ Inflation Reduction Act (IRA) มา ก็มีผลให้อัตราการเติบโตเฉลี่ยของการลงทุนเรื่องพลังงานสะอาดเร่งตัวสูงขึ้นเป็นไตรมาสละ 9% และคิดว่าจะยังต่อเนื่องไปอีก เนื่องจากหลายรัฐในสหรัฐฯ จะได้ผลประโยชน์ทางการเงินโดยตรงผ่านมาตรการ IRA

 

ทั้งนี้ IRA เป็นกฎหมายสำคัญที่รัฐบาลของ โจ ไบเดน ออกมามุ่งเน้นไปที่การลดเงินเฟ้อในสหรัฐฯ โดยมีเป้าสำหรับการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การลงทุนด้านพลังงานสะอาดจำนวนมาก สนับสนุนเครดิตภาษี (Tax Credit) ให้กับบริษัทและครัวเรือนที่ใช้พลังงานสะอาด อย่างแผงโซลาร์เซลล์ รถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน การลดต้นทุนการรักษาพยาบาล และการเพิ่มรายได้จากการเก็บภาษีที่สูงขึ้นจากบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อสนับสนุนงบประมาณของประเทศ

 

ไทยไม่อยู่ NZBA และยังเดินหน้าสู่ Net Zero

 

สำหรับประเทศไทย แม้ธนาคารพาณิชย์ไทยไม่ได้เข้าร่วมในกลุ่ม NZBA เหมือนสถาบันการเงินชั้นนำในต่างประเทศ แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ในไทยยังคงดำเนินนโยบายตามแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 ตามที่ประเทศไทยมีแผนลดก๊าซเรือนกระจกที่ให้คำมั่นสัญญาไว้กับสหประชาชาติว่าจะลด GHG 40% ภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา ธนาคารพาณิชย์เกือบทุกแห่งในไทยมีการตั้งเป้าหมายการลด GHG ที่สอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว และมีการดำเนินการในแนวทางที่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจของตนเอง เช่น การปรับเปลี่ยนแนวทางการให้สินเชื่อ รวมไปถึงการสนับสนุนทางด้านการเงินให้กับลูกค้าตามลักษณะของการปล่อย GHG ในแต่ละอุตสาหกรรม

 

เรื่องความยั่งยืนเป็นเทรนด์ระยะยาวที่สำคัญกว่า

 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การที่มีแบงก์ขนาดใหญ่หลายแห่งประกาศออกจาก NZBA เพราะเลิกตามนโยบายของผู้นำที่เชื่อว่า คนที่มาเป็นประธานาธิบดีจะมาจากฝั่งเดโมแครตหรือรีพับลิกัน เมื่อโลกว่าอย่างไรก็ว่ากันไปตามนั้น โดยเชื่อว่าในอนาคตธนาคารที่เคยยกเลิกไปก็ต้องกลับมาดำเนินการอย่างจริงจังอีกหลังทรัมป์อยู่ครบ 4 ปี เนื่องจากเรื่องความยั่งยืนหรือการดำเนินการสู่ Net Zero เป็นสิ่งสำคัญในระยะยาวที่ทุกประเทศต้องทำ เพราะปัจจุบันก็เห็นชัดแล้วว่าสถานการณ์ความเป็นจริงนับวันยิ่งแย่มากขึ้น

 

ขณะเดียวกันทรัมป์ยังต้องการชนะเรื่อง AI กับจีน จึงประกาศสนับสนุนเอกชนเต็มที่ด้วยการจับมือกับยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้วยโครงการสตาร์เกต โดยพร้อมออกกฎหมายฉุกเฉินเพื่อลงทุน Data Center ซึ่งปกติต้องมีพลังงานที่รองรับการใช้ไฟของ Data Center ประกอบกับยังมีมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป (EU) ที่เริ่มประกาศใช้แล้ว แต่จะเริ่มเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูงตั้งแต่ปี 2569 ซึ่งการดำเนินธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะตั้งในยุโรปหรือไม่ แต่หากสหรัฐฯ ต้องส่งสินค้านำเข้ายุโรปหรือทำธุรกิจกับยุโรป สหรัฐฯ เองก็ต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์นี้ด้วย

 

ล่าสุด ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต อดีตผู้บริหารบริษัทเทคและภาคการเงินระดับโลก ให้มุมมองถึง DeepSeek ซึ่งเป็น AI ของจีนที่เทียบเท่า ChatGPT ว่า การที่จีนพัฒนา AI ด้านนี้มา สามารถมองในมุมบวกได้ตรงที่ต้นทุนพัฒนา AI ถูกลง ซึ่งทำให้ค่าบริการถูกลงและคนเข้าถึงได้มากขึ้น ที่สำคัญคือ AI อาจใช้ทรัพยากรและพลังงานน้อยลง อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขึ้น

 

ถ้าทุกคนไม่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น?

 

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวไว้ในงานสัมมนาหัวข้อ ‘การปรับประเทศไทยให้ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ’ ว่า ตามการคาดการณ์ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ในปี 2100 อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้น 2.7-3.1 องศาเซลเซียส เมื่อดูแผนของประเทศต่างๆ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบัน แต่หากเรายังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับตามแนวโน้มที่เป็นอยู่ต่อไป อุณหภูมิโลกอาจสูงถึง 4.1-4.8 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นกรณีเลวร้ายมาก

 

ดังนั้นแน่นอนว่าผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกจะมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอุณหภูมิที่สูงขึ้น เช่น หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส การทำปศุสัตว์ในโลกจะเสียหายประมาณร้อยละ 10 และความหลากหลายทางชีวภาพจะลดลง แต่หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียส คน 400 ล้านคนจะเสี่ยงขาดแคลนอาหาร และจะเกิดการละลายของเพอร์มาฟรอสต์ (Permafrost) ซึ่งจะปล่อยก๊าซมีเทนที่กักเก็บไว้ออกมา ซึ่งจะทำให้โลกร้อนขึ้นไปอีก นอกจากนี้ หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ร้อยละ 54 ของประชากรโลกจะเสี่ยงเสียชีวิตจากความร้อนที่ยาวนานเกิน 20 วัน แต่หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียส สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มเป็นร้อยละ 74

 

ทั้งนี้ การศึกษาต่างๆ พบว่า ที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบระดับโลกขึ้นแล้วหลายประการ ทั้งการที่มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนเกือบ 500,000 คนในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา เกิดผู้ลี้ภัยทางภูมิอากาศ (Climate Refugee) มากถึง 32 ล้านคน และอาจเพิ่มเป็น 150 ล้านคนในอีก 30 ปี ตลอดจนเกิดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำ และความมั่นคงทางอาหารลดลง เนื่องจากการผลิตพืชอาหารสำคัญอื่นๆ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าวสาลี จะได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น

 

ในกรณีของประเทศไทย จำนวนวันที่มีอุณหภูมิเกิน 35 องศาเซลเซียสจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทำงานกลางแจ้ง เช่น เกษตรกร คนงานก่อสร้าง และไรเดอร์ส่งอาหารหรือผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการนอนหลับ อารมณ์ และการเล่นกีฬาต่างๆ

 

แก้ไขโลกร้อนต้องลดการปล่อย GHG และรู้จักปรับตัว

 

สำหรับการแก้ปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น มนุษยชาติจะต้องดำเนินการทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการปรับตัวให้อยู่กับโลกที่ร้อนขึ้น (Adaptation) ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่น ประเทศ และนานาชาติ ทั้งนี้ การปรับตัวให้อยู่กับโลกที่ร้อนขึ้นเป็นประเด็นสำคัญที่มักถูกพูดถึงน้อยกว่าการลดก๊าซเรือนกระจก ด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการคือ หนึ่ง ในอดีตการพูดถึงการปรับตัวมากเกินไปอาจถูกมองว่าเป็นการยอมแพ้ ไม่พยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสอง การปรับตัวมักเป็นปัญหาเฉพาะท้องถิ่นหรือประเทศ ไม่ได้รับความสนใจในระดับโลกเท่ากับการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น การที่น้ำท่วมในภาคเหนือของไทยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศอื่น ซึ่งแตกต่างจากการที่ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลก

 

ดังนั้นความท้าทายในการปรับตัวของประเทศไทยจึงเป็น ‘ปัญหาระดับท้องถิ่น’ ที่คนไทยจะต้องคิดและแก้ไขเอง โดยไม่มีแรงกดดันจากภายนอกให้ต้องดำเนินการ และจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยความตระหนักและการลงมือทำจากภายในประเทศไทยเอง

 

…ไม่ว่าจะเป็นผู้นำคนใดมาหรือไป ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่ต้องอยู่ด้วยกันในระยะยาว เพราะหากดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะประเทศที่พัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา ย่อมได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนรุนแรง และเชื่อว่าการปฏิบัติที่แท้จริงของแต่ละประเทศ ย่อมต้องหาวิถีทางให้ประเทศตัวเองสามารถปรับตัวและดำรงอยู่ให้ได้มากที่สุด…

 

ภาพ: Below the Sky / Shutterstock

อ้างอิง: 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising