×

DeepSeek เขย่าหุ้นเทคโลก จุดชนวนย้อนรอยฟองสบู่ดอทคอม

28.01.2025
  • LOADING...
DeepSeek

กระแสของ DeepSeek โมเดล AI สัญชาติจีน ทำให้บรรดาหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกถูกเทขายจนมูลค่าหายไปรวมกันหลายล้านล้านบาท

 

ดัชนี NASDAQ ที่เป็นตัวแทนของหุ้นเทคสหรัฐฯ ดิ่งลง -3% คิดเป็นมูลค่าที่หายไป 1 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อคืนนี้ (27 มกราคม) โดยเฉพาะหุ้นอย่าง NVIDIA ที่ดิ่งลงเกือบ -17% ภายในวันนี้ จากที่เคยมีมูลค่าประมาณ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงมาเหลือ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ หายไปราว 6 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 21 ล้านล้านบาท ภายในวันเดียว

 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

 

หุ้นเทคอื่นๆ ที่ร่วงลงแรง เช่น Broadcom -17.4%, Oracle -13.8%, TSMC -13.3%, Alphabet (Google) -4%, Tesla -2.3% และ Microsoft -2.1% 

 

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกว่า พัฒนาการของ DeepSeek เป็นเรื่องที่ดีในมุมที่ว่าการพัฒนาเทคโนโลยีสามารถใช้เงินลงทุนต่ำลงได้ ขณะเดียวกัน กระแสของ DeepSeek เป็นสัญญาณเตือนอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ว่าต้องเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 

 

ฟองสบู่หุ้นเทคกำลังแตก?

 

การเทขายหุ้นเทคอย่างดุเดือดนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับภาวะ ‘ฟองสบู่แตก’ อีกครั้ง

 

Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates บริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ กล่าวกับสำนักข่าว Financial Times ว่า กระแสและมุมมองเชิงบวกต่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของนักลงทุน ทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขึ้นมา ซึ่งคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ก่อนเกิดวิกฤตดอทคอมช่วงปี 1998 และ 1999

 

“มีเทคโนโลยีใหม่ที่สำคัญ ซึ่งแน่นอนว่าจะเปลี่ยนโลกและประสบความสำเร็จ แต่บางคนกำลังสับสนระหว่างความสำเร็จของเทคโนโลยีกับความสำเร็จของการลงทุน” Dalio กล่าว

 

คำเตือนของ Dalio เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าการลงทุนใน AI อาจถูกประเมินค่าเกินจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกระแสของ DeepSeek ปะทุขึ้นมา ซึ่งโมเดล DeepSeek-R1 ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพในการประมวลผลใกล้เคียงกับคู่แข่งอย่าง ChatGPT แต่ทำงานบนฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าและใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก

 

ตั้งแต่ต้นปี 2023 การเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีทำให้ดัชนี NASDAQ พุ่งขึ้นถึง 2 เท่า คล้ายกับการเติบโตที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนวิกฤตดอทคอม 

 

ความหวือหวาของเทคโนโลยีใหม่อย่าง ‘อินเทอร์เน็ต’ ในเวลานั้น ผลักดันให้หุ้นหลายต่อหลายตัวพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง ก่อนที่จะเกิดการล่มสลายของมูลค่าและการล้มละลายของบริษัทชื่อดังหลายแห่ง เนื่องจากมีเพียงบริษัทส่วนน้อยที่สามารถใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตได้อย่างประสบความสำเร็จและทำกำไรได้ในช่วงแรก

 

ตัดภาพมาที่เทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน จะเห็นว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ทุ่มเงินลงทุนกับ AI เป็นมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่กลับให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่จำกัด 

 

เงินลงทุนกำลังจะกระจายตัวมากขึ้น

 

สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย บอกว่า หลังการเปิดตัวของ ChatGPT เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 กองทุนทั่วโลกแห่เข้าไปลงทุนในหุ้นเทคสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ จนเม็ดเงินลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 

 

ทำให้ผลตอบแทนของดัชนี MSCI Growth ที่เป็นตัวแทนของหุ้นเติบโต ฉีกหนีออกจากผลตอบแทนของ MSCI Value ที่เป็นตัวแทนของหุ้นคุณค่าเกือบ 40% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

แต่หลังจากที่ DeepSeek เป็นที่รู้จักมากขึ้น ล่าสุดนำไปสู่การตั้งคำถามว่า การลงทุนในระดับหมื่นล้านหรือแสนล้านของหลายบริษัทยังจำเป็นขนาดนั้นหรือไม่ 

 

คำตอบของคำถามนี้ ส่วนหนึ่งจะเกิดขึ้นผ่านการประกาศผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคต่างๆ ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะมุมมองของผู้บริหารของแต่ละบริษัทเกี่ยวกับการตั้งงบลงทุนในปี 2025 

 

ส่วนการลงทุนของนักลงทุนในหุ้นเทค น่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นผ่าน 3 ส่วน ได้แก่ 

 

  1. การโยกย้ายเงินลงทุนในกลุ่ม Magnificent 7 จากหุ้นเทคต้นน้ำมาสู่กลางน้ำมากขึ้น เช่น จาก NVIDIA ไปสู่ Microsoft, Google และ Amazon

 

  1. การโยกย้ายเงินลงทุนจากหุ้น Growth มาสู่หุ้น Value มากขึ้น หลังจากมีการคาดการณ์ว่าการเติบโตของกำไรปี 2025 ของบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15% ส่วนหุ้นอีก 493 บริษัทที่เหลือใน S&P 500 จะเติบโตเฉลี่ย 12% เป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น 

 

  1. ถ้าสงครามชิปรุนแรงมากขึ้นและกดดันต่อราคา อาจทำให้หุ้นเทคสหรัฐฯ ที่อยู่บน P/E สูงเกิดการปรับฐาน ขณะที่หุ้นกลุ่ม MSCI Asia ที่เป็นตัวแทนหุ้น Value และ MSCI Dividend จะปรับตัวดีขึ้น 

 

มหาเศรษฐีโลกสูญความมั่งคั่ง 1.08 แสนล้านดอลลาร์ในวันเดียว

 

อีกหนึ่งผลกระทบจากกระแสของ DeepSeek คือความมั่งคั่งของบรรดามหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 500 คน นำโดย Jensen Huang ผู้ร่วมก่อตั้ง NVIDIA 

 

วันจันทร์ที่ผ่านมา ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีโลกลดลงไป 1.08 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 3.8 ล้านล้านบาท 

 

มหาเศรษฐีที่ความมั่งคั่งเชื่อมโยงกับ AI เป็นผู้ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่

  • Jensen Huang สูญความมั่งคั่ง 2.01 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็น 20% ของมูลค่าทรัพย์สิน
  • Larry Ellison ผู้ร่วมก่อตั้ง Oracle Corp. สูญความมั่งคั่ง 2.26 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้จะมากกว่า Huang ในเชิงมูลค่า แต่คิดเป็น 12% ของทรัพย์สินทั้งหมด
  • Michael Dell ผู้ก่อตั้ง Dell Inc. สูญความมั่งคั่ง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์
  • Changpeng Zhao ผู้ร่วมก่อตั้ง Binance Holdings Ltd. สูญความมั่งคั่ง 1.21 หมื่นล้านดอลลาร์

 

Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ประกาศเมื่อวันที่ 24 มกราคมว่า บริษัทมีแผนลงทุน 6-6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI ในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ใน Wall Street คาดการณ์ไว้ รายงานจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า การใช้จ่ายด้านเงินทุนของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ทั้งหมดอาจแตะ 2 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2025

 

แม้ว่ารายได้จากการลงทุนใน AI จะยังมีจำกัด แต่ตลาดกลับประเมินมูลค่าของหุ้นเทคสหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสร้างความมั่งคั่งในระดับประวัติศาสตร์ให้กับเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ เช่น Jensen Huang มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเกือบ 8 เท่าเป็น 1.21 แสนล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นปี 2023 หรือ Mark Zuckerberg มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 385% เป็น 2.29 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วน Jeff Bezos มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 133% เป็น 2.54 แสนล้านดอลลาร์

 

ภาพ: Dia Dipasupil / Staff / Getty Images, NurPhoto / Contributor / Getty Images, one studio 900 / Shutterstock 

อ้างอิง:

 
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising