กระแสของ DeepSeek โมเดล AI สัญชาติจีน ทำให้บรรดาหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกถูกเทขายจนมูลค่าหายไปรวมกันหลายล้านล้านบาท
ดัชนี NASDAQ ที่เป็นตัวแทนของหุ้นเทคสหรัฐฯ ดิ่งลง -3% คิดเป็นมูลค่าที่หายไป 1 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อคืนนี้ (27 มกราคม) โดยเฉพาะหุ้นอย่าง NVIDIA ที่ดิ่งลงเกือบ -17% ภายในวันนี้ จากที่เคยมีมูลค่าประมาณ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงมาเหลือ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ หายไปราว 6 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 21 ล้านล้านบาท ภายในวันเดียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ชม DeepSeek ‘น่าประทับใจ’ แต่ย้ำ ‘พลังการประมวลผล’ ยังสำคัญ
- 5 คำถามสำคัญที่ตามมาจากการผงาดขึ้นมาของ DeepSeek AI จีนที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในตอนนี้
- สตาร์ทอัพจีนเขย่าวงการ AI โลก ‘DeepSeek’ ขึ้นแท่นแอปยอดนิยมอันดับ 1 ในสหรัฐฯ ท้าชิงผู้นำบิ๊กเทคฝั่งตะวันตก
หุ้นเทคอื่นๆ ที่ร่วงลงแรง เช่น Broadcom -17.4%, Oracle -13.8%, TSMC -13.3%, Alphabet (Google) -4%, Tesla -2.3% และ Microsoft -2.1%
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกว่า พัฒนาการของ DeepSeek เป็นเรื่องที่ดีในมุมที่ว่าการพัฒนาเทคโนโลยีสามารถใช้เงินลงทุนต่ำลงได้ ขณะเดียวกัน กระแสของ DeepSeek เป็นสัญญาณเตือนอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ว่าต้องเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
ฟองสบู่หุ้นเทคกำลังแตก?
การเทขายหุ้นเทคอย่างดุเดือดนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับภาวะ ‘ฟองสบู่แตก’ อีกครั้ง
Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates บริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ กล่าวกับสำนักข่าว Financial Times ว่า กระแสและมุมมองเชิงบวกต่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของนักลงทุน ทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขึ้นมา ซึ่งคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ก่อนเกิดวิกฤตดอทคอมช่วงปี 1998 และ 1999
“มีเทคโนโลยีใหม่ที่สำคัญ ซึ่งแน่นอนว่าจะเปลี่ยนโลกและประสบความสำเร็จ แต่บางคนกำลังสับสนระหว่างความสำเร็จของเทคโนโลยีกับความสำเร็จของการลงทุน” Dalio กล่าว
คำเตือนของ Dalio เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าการลงทุนใน AI อาจถูกประเมินค่าเกินจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกระแสของ DeepSeek ปะทุขึ้นมา ซึ่งโมเดล DeepSeek-R1 ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพในการประมวลผลใกล้เคียงกับคู่แข่งอย่าง ChatGPT แต่ทำงานบนฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าและใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก
ตั้งแต่ต้นปี 2023 การเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีทำให้ดัชนี NASDAQ พุ่งขึ้นถึง 2 เท่า คล้ายกับการเติบโตที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนวิกฤตดอทคอม
ความหวือหวาของเทคโนโลยีใหม่อย่าง ‘อินเทอร์เน็ต’ ในเวลานั้น ผลักดันให้หุ้นหลายต่อหลายตัวพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง ก่อนที่จะเกิดการล่มสลายของมูลค่าและการล้มละลายของบริษัทชื่อดังหลายแห่ง เนื่องจากมีเพียงบริษัทส่วนน้อยที่สามารถใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตได้อย่างประสบความสำเร็จและทำกำไรได้ในช่วงแรก
ตัดภาพมาที่เทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน จะเห็นว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ทุ่มเงินลงทุนกับ AI เป็นมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่กลับให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่จำกัด
เงินลงทุนกำลังจะกระจายตัวมากขึ้น
สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย บอกว่า หลังการเปิดตัวของ ChatGPT เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 กองทุนทั่วโลกแห่เข้าไปลงทุนในหุ้นเทคสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ จนเม็ดเงินลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทำให้ผลตอบแทนของดัชนี MSCI Growth ที่เป็นตัวแทนของหุ้นเติบโต ฉีกหนีออกจากผลตอบแทนของ MSCI Value ที่เป็นตัวแทนของหุ้นคุณค่าเกือบ 40% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่หลังจากที่ DeepSeek เป็นที่รู้จักมากขึ้น ล่าสุดนำไปสู่การตั้งคำถามว่า การลงทุนในระดับหมื่นล้านหรือแสนล้านของหลายบริษัทยังจำเป็นขนาดนั้นหรือไม่
คำตอบของคำถามนี้ ส่วนหนึ่งจะเกิดขึ้นผ่านการประกาศผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคต่างๆ ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะมุมมองของผู้บริหารของแต่ละบริษัทเกี่ยวกับการตั้งงบลงทุนในปี 2025
ส่วนการลงทุนของนักลงทุนในหุ้นเทค น่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นผ่าน 3 ส่วน ได้แก่
- การโยกย้ายเงินลงทุนในกลุ่ม Magnificent 7 จากหุ้นเทคต้นน้ำมาสู่กลางน้ำมากขึ้น เช่น จาก NVIDIA ไปสู่ Microsoft, Google และ Amazon
- การโยกย้ายเงินลงทุนจากหุ้น Growth มาสู่หุ้น Value มากขึ้น หลังจากมีการคาดการณ์ว่าการเติบโตของกำไรปี 2025 ของบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15% ส่วนหุ้นอีก 493 บริษัทที่เหลือใน S&P 500 จะเติบโตเฉลี่ย 12% เป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น
- ถ้าสงครามชิปรุนแรงมากขึ้นและกดดันต่อราคา อาจทำให้หุ้นเทคสหรัฐฯ ที่อยู่บน P/E สูงเกิดการปรับฐาน ขณะที่หุ้นกลุ่ม MSCI Asia ที่เป็นตัวแทนหุ้น Value และ MSCI Dividend จะปรับตัวดีขึ้น
มหาเศรษฐีโลกสูญความมั่งคั่ง 1.08 แสนล้านดอลลาร์ในวันเดียว
อีกหนึ่งผลกระทบจากกระแสของ DeepSeek คือความมั่งคั่งของบรรดามหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 500 คน นำโดย Jensen Huang ผู้ร่วมก่อตั้ง NVIDIA
วันจันทร์ที่ผ่านมา ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีโลกลดลงไป 1.08 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 3.8 ล้านล้านบาท
มหาเศรษฐีที่ความมั่งคั่งเชื่อมโยงกับ AI เป็นผู้ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่
- Jensen Huang สูญความมั่งคั่ง 2.01 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็น 20% ของมูลค่าทรัพย์สิน
- Larry Ellison ผู้ร่วมก่อตั้ง Oracle Corp. สูญความมั่งคั่ง 2.26 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้จะมากกว่า Huang ในเชิงมูลค่า แต่คิดเป็น 12% ของทรัพย์สินทั้งหมด
- Michael Dell ผู้ก่อตั้ง Dell Inc. สูญความมั่งคั่ง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์
- Changpeng Zhao ผู้ร่วมก่อตั้ง Binance Holdings Ltd. สูญความมั่งคั่ง 1.21 หมื่นล้านดอลลาร์
Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ประกาศเมื่อวันที่ 24 มกราคมว่า บริษัทมีแผนลงทุน 6-6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI ในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ใน Wall Street คาดการณ์ไว้ รายงานจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า การใช้จ่ายด้านเงินทุนของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ทั้งหมดอาจแตะ 2 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2025
แม้ว่ารายได้จากการลงทุนใน AI จะยังมีจำกัด แต่ตลาดกลับประเมินมูลค่าของหุ้นเทคสหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสร้างความมั่งคั่งในระดับประวัติศาสตร์ให้กับเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ เช่น Jensen Huang มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเกือบ 8 เท่าเป็น 1.21 แสนล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นปี 2023 หรือ Mark Zuckerberg มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 385% เป็น 2.29 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วน Jeff Bezos มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 133% เป็น 2.54 แสนล้านดอลลาร์
ภาพ: Dia Dipasupil / Staff / Getty Images, NurPhoto / Contributor / Getty Images, one studio 900 / Shutterstock
อ้างอิง:
- https://www.investing.com/news/stock-market-news/wall-sts-ai-bubble-resembles-runup-to-dotcom-crash-ray-dalio-tells-ft-3833409
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-01-27/world-s-richest-people-lose-108-billion-after-deepseek-selloff?srnd=homepage-asia&sref=CVqPBMVg
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-01-27/nasdaq-futures-slump-as-china-s-deepseek-sparks-us-tech-concern?srnd=homepage-asia&sref=CVqPBMVg