×

สิ่งที่ได้เห็นจากชัยชนะของ ยานนิก ซินเนอร์ หลังป้องกันแชมป์ออสเตรเลียนโอเพน

27.01.2025
  • LOADING...
ยานนิก ซินเนอร์ ยกถ้วยแชมป์ออสเตรเลียนโอเพน 2567 หลังเอาชนะ อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ ในรอบชิงชนะเลิศ

ปี 2019 คือครั้งสุดท้ายที่นักเทนนิสชายเดี่ยวมือวางอันดับ 1 และมือวางอันดับ 2 ของรายการ เข้ามาชิงชนะเลิศกันเองในเทนนิสออสเตรเลียนโอเพน โดยในครั้งนั้นเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่าง โนวัค ยอโควิช นักหวดเซอร์เบียมือวางอันดับ 1 ของโลกและของรายการ พบกับ ราฟาเอล นาดาล มือวางอันดับ 2 จากสเปน

 

นับจากวันนั้นแฟนๆ ต้องรอร่วม 6 ปีกว่าจะได้เห็นการชิงชัยกันในรอบชิงชนะเลิศของ มือ 1 และ มือ 2 ในรายการอีกครั้ง โดยในครั้งนี้เป็นการเจอกันของ ยานนิก ซินเนอร์ แชมป์เก่าและมือวางอันดับ 1 ของโลกจากอิตาลี พบกับ อเล็กซานเดอร์ ‘ซาช่า’ ซเวเรฟ นักหวดมือวางอันดับ 2 ของโลกจากเยอรมนี

 

แม้การเจอกันของมือ 1 และมือ 2 ทั้งสองรอบจะห่างกัน 6 ปี แต่ผลการแข่งขันก็ออกมาคล้ายๆ กันคือ การที่มือ 1 เอาชนะมือ 2 ไปแบบขาดลอย 3 เซ็ตรวด

 

แม้จะมีภาพซ้อนทับกันบางอย่าง แต่อีกหลายอย่างก็ยังคงต่างกันอยู่ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้รอบชิงชนะเลิศชายเดี่ยวใน A0 2025 น่าสนใจ

 

Game of Errors

 

รอบชิงชนะเลิศเทนนิสระดับแกรนด์สแลมย่อมไม่ใช่รายการที่ใครอยากแพ้ เพราะถ้าพ่ายแพ้มันหมายถึงสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็ต้องพังลงไปต่อหน้าต่อตา คำสวยหรูอย่าง ‘ได้สู้เต็มที่’ หรือ ‘พยายามถึงที่สุดแล้ว’ เป็นเพียงคำปลอบใจตัวเอง แถมคำปลอบใจเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้เจ็บปวดน้อยลงเลย

 

และนั่นอาจเป็นเหตุผลโดยตรงก็ได้ที่ทำให้ช่วงเริ่มต้นเกมระหว่าง ยานนิก ซินเนอร์ กับ อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ เต็มไปด้วยอาการ ‘เกร็ง’ จนทั้งสองฝ่ายเล่นแบบกลัวเสียแต้ม แถมยังมีการพลาดง่ายๆ แบบไม่ควรจะเป็น

 

ทางซาช่าที่อาการหนักกว่ายานนิก เขาตีเสียเองไปถึง 13 แต้มในเซ็ตแรก แถมลูกเสิร์ฟที่ควรจะเป็นอาวุธสำคัญก็ไม่มาตามนัด เขาเสิร์ฟเอซได้เพียง 4 ครั้ง ซึ่งไม่ต่างจากซินเนอร์ที่ได้ 3 เอซในเซ็ตแรกสักเท่าไร

 

แต่ถึงแม้ซเวเรฟจะพลาดให้หลายครั้ง แต่ทางซินเนอร์ก็ฉกฉวยโอกาสจากความผิดพลาดเหล่านั้นมาครองไม่ได้ โดยในเกมที่ 4 ของเซ็ตแรกที่นักหวดเยอรมนีทำให้ตัวเองตกอยู่ในความยากลำบาก หลังต้องมาป้องกันถึง 2 เบรกพอยต์ แต่ซินเนอร์ก็ยังไม่ดีพอและยังมีความผิดพลาดให้เห็นไม่ต่างกัน สถานการณ์จึงกลายเป็นซาช่าที่เก็บ 4 แต้มรวด แซงจากตามหลัง 15-40 ปิดเกมเสิร์ฟไปได้แทน

 

ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในเซ็ตแรกเกิดขึ้นในเกมที่ 8 ที่ทั้งคู่ต้องเล่นกันถึง 13 แต้ม โดยทั้งซาช่าและซินเนอร์ก็มีโอกาสทั้งคู่ แต่เป็นนักหวดเยอรมันที่ปิดเกมเสิร์ฟของตัวเองไม่ลง ทว่าทางซินเนอร์เองก็ใช้โอกาสสิ้นเปลืองเช่นกัน และต้องใช้ถึง 4 เบรกพอยต์กว่าที่นักหวดอิตาลีจะเบรกเสิร์ฟได้ และกลายเป็นกุญแจในการปิดเซ็ตแรกชนะไป 6-3

 

Aggressive Player vs. Poker Face

 

แม้เซ็ตที่ 2 ความผิดพลาดของทั้งคู่จะหนักข้อกว่าเซ็ตแรก ชนิดที่ทั้งสองฝ่ายตี Unforced Errors รวมกันปาเข้าไป 36 ครั้งในเซ็ตเดียว แต่คนที่ได้ดูเกมนี้คงจะคิดคล้ายๆ กันว่าเซ็ตที่ 2 ทั้งคู่เล่นได้อย่างสนุกและมีสีสันกว่าเซ็ตแรกพอสมควร

 

ในเซ็ตที่ 2 เราได้เห็นแต้มที่แรลลี่กันยาวนานมากขึ้น จึงอธิบายได้ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในเซ็ตนี้ไม่ใช่เพราะอาการเกร็งเหมือนในเซ็ตแรก แต่มันมาจากการพยายามหาจังหวะโจมตีคู่แข่งเพื่อปิดสกอร์ในแต่ละแต้ม ทว่าต่างฝ่ายต่างทำได้ไม่ดีพอ จนทำให้กลายเป็นลูกเสียหรือติดเน็ตไป

 

ซินเนอร์กับซเวเรฟยังคงสู้กันที่เบสไลน์ และในแต่ละช็อตที่หวดใส่ไปที่ฝั่งตรงข้ามจะยิ่งมีความกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับความกดดันนั้นไม่ไหว พยายามจะฉวยโอกาสแต่ทำได้ไม่ดีพอ หรือพยายามยิงวินเนอร์จนสำเร็จ การแรลลี่จึงจบลง

 

การแสดงออกของทั้งสองฝ่ายต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละแต้มที่พวกเขาได้หรือเสีย โดยทางซเวเรฟออกท่าทาง หน้าตา และส่งสัญญาณชัดเจนว่าเขาพอใจหรือไม่พอใจกับแต้มที่เล่นเสร็จไป

 

แต่นักหวดอิตาลีทำในสิ่งที่เขาทำมาตลอดคือใส่หน้ากาก Poker Face ไม่ว่าในช็อตนั้นจะได้คะแนนหรือเสียคะแนนก็ตาม 

 

แน่นอนว่าการแสดงออกอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อเกมโดยตรง เพราะสุดท้ายทั้งคู่ต่างก็ On Serve ไว้ได้ตลอดเซ็ต ทำให้ต้องไปตัดสินกันด้วยไทเบรก ก่อนที่ซินเนอร์จะเอาชนะไปได้ แต่เมื่อมองไปเฉพาะการควบคุมอารมณ์ของตัวเองที่คุกรุ่นขึ้นมาในแต่ละแต้มนั้น ซินเนอร์ถือว่าเอาชนะซเวเรฟได้อย่างขาดลอย

 

อย่าลืมว่าซินเนอร์อายุเพียง 23 ปีเท่านั้น แต่การควบคุมอารมณ์ในสนามและแสดงออกมาแบบไร้อารมณ์นั้นเกินกว่าอายุจริงของเขาไปมาก

 

แม้ว่าสำหรับแฟนๆ บางกลุ่มแล้วซินเนอร์จะเป็นนักเทนนิสที่น่าเบื่อทั้งสไตล์การเล่นและท่าทางการแสดงออก แต่การควบคุมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบนี้เองที่มีส่วนพาเขามาไกลได้ขนาดนี้

 

Unlucky Man

 

แม้จะยกย่อง Poker Face ของซินเนอร์ไว้ด้านบนก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปฏิกิริยาของซเวเรฟเป็นที่ถูกตาต้องใจแฟนๆ มากกว่า เพราะมันมีความเป็นมนุษย์สูงมาก 

 

เขาแสดงออกชัดเจนว่าสะใจเมื่อได้คะแนนสำคัญ แสดงความหงุดหงิดออกทางสีหน้าเมื่อเขาพลาด และแสดงอาการไม่เข้าใจโลกเมื่อเขาโชคร้าย

 

ช็อตที่แฟนๆ น่าจะจำได้ดีคือช็อตสำคัญขณะที่สกอร์เสมอกัน 4-4 ในช่วงไทเบรกของเซ็ตที่ 2 ซึ่งแมตช์กับเข้าช่วงสำคัญในการตัดสิน ใครขึ้นแต้มที่ 5 ในไทเบรกนี้ก่อน ก็มีโอกาสสูงที่จะคว้าเซ็ตนี้ไปครอง

 

ในจังหวะนั้นเองที่ซินเนอร์หวดโฟร์แฮนด์ไปชนปลายเน็ต บอลพลิกเน็ตลอยข้ามฝั่งไปลงในแดนของซเวเรฟอย่างน่าเจ็บปวดสำหรับเขาที่เตรียมการตั้งรับไว้แล้วในกรณีที่ลูกข้ามฝั่งมาแบบปกติ

 

เขายืนมองแบบไม่เชื่อสายตา และด้วยความที่เป็นคนแสดงอารมณ์อย่างชัดเจนอยู่แล้ว เขาถึงกับเอาแร็กเก็ตไปฟาดเข้าที่กระเป๋าระหว่างเซ็ต เพราะหงุดหงิดจากการเสียคะแนนอย่างน่าเจ็บปวด ทั้งที่เขาสู้กับซินเนอร์ได้อย่างดีมาตลอด

 

การเสียแต้มสำคัญช็อตนั้นไปกับความโชคร้าย ทำให้สมาธิของซเวเรฟหลุดไปอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่จะเสียอีก 2 คะแนน พ่ายไปในช่วงไทเบรก 4-7 และเสียเซ็ตที่ 2 ซึ่งนำมาสู่ความพ่ายแพ้ของเขาในเวลาต่อมาด้วย

 

Textbook Tennis

 

ข้อมูลเชิงสถิติบ่งบอกกับเราว่าซเวเรฟเล่นดีขึ้นในเซ็ตที่ 3 ในหลายๆ แง่ ทั้งการตีเสียน้อยลง เล่นเสิร์ฟแรกดีขึ้น และรีเทิร์นเสิร์ฟแรกของซินเนอร์ดีกว่าทุกเซ็ตที่ผ่านมา แต่เพราะอะไรที่ทำให้ในความรู้สึกของคนดู เซ็ตที่ 3 ถึงดูเหมือนจะขาดลอยกว่าทุกเซ็ต ทั้งที่สกอร์ก็จบที่ 6-3 เหมือนเซ็ตแรก

 

คำตอบของคำถามนี้ก็อยู่ที่การเล่นของซินเนอร์ โดยเฉพาะในการเล่นลูกเสิร์ฟ

 

ซินเนอร์เปลี่ยนแปลงการเล่นของตัวเอง โดยเฉพาะการเสิร์ฟและจังหวะต่อเนื่องหลังจากนั้นในช่วงปลายปี 2023 นั่นทำให้เขาประสบความสำเร็จทันทีตั้งแต่ต้นปี 2024 หลังคว้าแชมป์แกรนด์สแลมแรกอย่างออสเตรเลียนโอเพนในปีก่อน

 

การเล่นของซินเนอร์ได้รับการยกย่องจากผู้บรรยายหลายๆ ครั้งว่า ‘ถอดแบบมาจากตำรา’ นับตั้งแต่ท่าทางการเสิร์ฟ วิธีการเลือกช็อตเล่น และท่าทางการตี

 

เขายอดเยี่ยมขนาดที่ว่าในเกมรอบชิงชนะเลิศ ออสเตรเลียนโอเพนปีนี้ เขาไม่ต้องเล่นเพื่อเซฟเบรกพอยต์ตลอดทั้งเกม แม้ว่าจะมีบางช่วงที่เล่นพลาดไปไม่น้อย

 

ซินเนอร์ไม่ได้เอาชนะใครๆ ด้วยพลังของเขา การเสิร์ฟครั้งแรกของเขามีความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ราว 198 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งห่างไกลจากตัวเลขของนักเทนนิสสายเสิร์ฟหนักโดยเฉลี่ยอยู่พอสมควร

 

อันที่จริงแล้วลูกเสิร์ฟของซินเนอร์ช้ากว่าลูกเสิร์ฟของนักเทนนิสหญิงมือวางอันดับ 1 ของโลกอย่าง อารีนา ซาบาเลนกา ที่มีความเร็วเสิร์ฟแรกเฉลี่ย 214 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยซ้ำ

 

แต่การเสิร์ฟและการเล่นของเขาแพรวพราวและตรงตามตำรา ซเวเรฟไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าซินเนอร์จะมาไม้ไหนหรือตีลูกอย่างไร แม้ว่าเขาจะรู้ดีแก่ใจว่าน้อยครั้งที่นักหวดอิตาลีจะขึ้นหน้าเน็ต จนเขายอมรับว่าแทบไม่มีอะไรที่ดีกว่าคู่แข่งคนนี้เลย

 

ในการแถลงข่าวซเวเรฟกล่าวว่า “ผมเสิร์ฟได้ดีกว่ายานนิก ส่วนอย่างอื่นท้ายที่สุดแล้วเขาทำได้ดีกว่าผม เทนนิสมีช็อตสำคัญๆ 5 หรือ 6 ช็อต และเขาทำได้ดีกว่าผม 4 หรือ 5 ช็อต นั่นคือเหตุผลที่เขาชนะ เขาสมควรชนะในวันนี้”

 

ซินเนอร์ยังมีอีกหนึ่งทักษะที่ได้รับการยกย่องว่า ‘มาจากตำราเทนนิส’ เช่นกัน นั่นคือเขาเป็นคนที่ตีลูกลึกจนเกือบถึงเส้นเป็นปกติ แม้เรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่ถูกสอนกันมาในโรงเรียนเทนนิสจนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ใช่ว่ามันจะทำได้ง่ายดายขนาดนั้น 

 

การเล่นเทนนิสตามตำรานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ใช่ว่าใครๆ จะทำได้ ดังนั้นการที่ซินเนอร์ถูกเรียกในหลายๆ ครั้งว่าเล่นเทนนิสได้ตรงตามตำรา จึงเป็นการยกย่องอย่างมาก

 

เพราะอีกคนที่ได้รับคำชมเช่นนี้มาเกือบตลอดอาชีพเขามีชื่อว่า โนวัค ยอโควิช

 

New Rivalry

 

ในคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาซินเนอร์มีการแข่งขันพร้อมกัน 2 อย่าง คือแข่งขันกับซเวเรฟในร็อดเลเวอร์อารีนา ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่าเขารับมือได้ไม่ยาก ส่วนอีกอย่างหนึ่งคือแข่งขันด้านตัวเลขในประวัติศาสตร์กับ คาร์ลอส อัลคาราซ คู่แข่งชาวสเปน ที่น่าจะเป็นคู่แข่งของเขาไปอีกตลอดทศวรรษข้างหน้า เพื่อวัดกันว่าใครจะคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้มากที่สุด

 

ซินเนอร์กับอัลคาราซโชคดีกว่ารุ่นพี่อย่าง ดานีล เมดเวเดฟ, อเล็กซาเดอร์ ซเวเรฟ หรือ สเตฟานอส ซิตสิปาส ที่ในช่วงเริ่มต้นอาชีพของเขาไม่มีชื่อของ Big 3 อย่าง โนวัค ยอโควิช, ราฟาเอล นาดาล หรือ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ มาคอยขวางทางไปสู่แกรนด์สแลมด้วยร่างทอง

 

ในช่วง 2 ทศวรรษของยุค Big 3 พวกเขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรวมกัน 66 รายการ ดังนั้นจึงยากมากสำหรับใครก็ตามที่จะขึ้นมาคว้าแชมป์ 4 รายการใหญ่ในยุคที่พวกเขาครองโลกเทนนิส

 

อัลคาราซกับซินเนอร์อาจจะได้เจอกับโนเล่ แต่ทุกคนรู้กันดีว่าอดีตแชมป์แกรนด์สแลม 24 สมัยไม่ได้อยู่ในช่วง ‘ไร้เทียมทาน’ อีกต่อไป

 

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราว 10 ปี (หรือมากกว่านั้น) นับจากนี้เราจะได้เห็นชื่อของซินเนอร์ขับเคี่ยวกับอัลคาราซบนเวทีแกรนด์สแลม ซึ่งตอนนี้เป็นนักหวดสเปนที่เหนือกว่าอยู่เล็กน้อยที่ 4 แกรนด์สแลม แต่จากการที่ซินเนอร์ได้แชมป์ล่าสุดที่ร็อดเลเวอร์อารีนา ก็ทำให้เขาไล่มาติดๆ ที่ 3 แชมป์

 

ภาพการขับเคี่ยวที่เกิดขึ้นระหว่างซินเนอร์กับอัลคาราซอาจไม่ใช่ภาพที่เราคุ้นชินในยุค Big 3 ที่ทั้ง 3 คนต่างมีสแลมที่ถนัดเป็นของตัวเอง เพราะดูจากความถนัดแล้ว เราอาจจะแบ่งการลุ้นแชมป์ของทั้งคู่ได้เป็นคอร์ตออร์แกนิกกับฮาร์ตคอร์ต

 

คอร์ตออร์แกนิกคือคอร์ตที่เป็นวัสดุจากธรรมชาติ ในที่นี้คือวิมเบิลดัน (คอร์ตหญ้า) กับโรลังด์ การ์รอส (คอร์ตดิน) ขณะที่ซินเนอร์ก็พิสูจน์แล้วว่าเขายอดเยี่ยมแค่ไหนบนฮาร์ตคอร์ต

 

แต่ถึงจะมีคอร์ตที่ถนัดต่างกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าการคว้าแชมป์จะผูกขาดเสมอไป เพราะเราก็ได้เห็นเฟเดอเรอร์คว้าแชมป์ที่โรลังด์ การ์รอส หรือนาดาลคว้าแชมป์ที่ออลอิงแลนด์คลับมาแล้วเช่นกัน

 

การได้แชมป์แกรนด์สแลมที่ 3 ของซินเนอร์จึงเปรียบเหมือนการเปิดฉากไล่ล่าความสำเร็จที่เราอาจจะได้ยินชื่อของเขาร่วมกับคู่ปรับอย่างอัลคาราซไปอีกยาวนานนับจากนี้เลยก็ได้

 

เพราะหากเมื่อไรก็ตามที่ยอโควิชลาสนาม นักเทนนิสที่มีโอกาสลุ้นแกรนด์สแลมเพิ่มแบบเป็นกอบเป็นกำในปัจจุบันก็จะเหลือเพียงแค่เขาสองคนเท่านั้น

 

ภาพ: James D. Morgan / Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising