วันนี้ (20 มกราคม) เป็นวันแรกที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ขณะที่นักลงทุนดูเหมือนจะมีมุมมองเชิงบวกต่อการเริ่มต้นยุคทรัมป์ 2.0 สะท้อนจากดัชนีหุ้นของตลาดส่วนใหญ่ที่ปรับตัวขึ้น ทั้งในฝั่งเอเชีย ยุโรป และสหรัฐฯ
ตลาดหุ้นในเอเชียส่วนมากปรับตัวขึ้นในวันนี้ นำโดยตลาดหุ้นฮ่องกง (Hang Seng) และญี่ปุ่น (Nikkei 225) ที่ปรับตัวขึ้น 1.8% และ 1.1% ขณะที่ตลาดหุ้นจีน (CSI 300) อินเดีย (BSE SENSEX) และอินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวขึ้นได้กว่า 0.5-0.8% เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย (SET) ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยประมาณ 0.1%
ส่วนตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ (PSEi Composite) และเกาหลีใต้ (KOSPI) เป็นตลาดที่ปรับตัวลงประมาณ 0.1%
ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างโดดเด่น โดยช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 มกราคม) ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.5% S&P 500 เพิ่มขึ้น 1% และ Dow Jones เพิ่มขึ้น 0.8%
หนึ่งในปัจจัยบวกที่สำคัญมาจากการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น นโยบายการค้า การให้บริการต่อไปในสหรัฐฯ ของแอปพลิเคชัน TikTok รวมทั้งปัญหาเรื่องยาเฟนทานิล
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกน่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความผันผวนน้อยที่สุดของการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังระดับโลก และน่าจะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวได้บ้างหลังจากสะท้อนเรื่องของสงครามการค้าไปค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ ทีมเศรษฐกิจของทรัมป์น่าจะใช้วิธีทยอยปรับขึ้นภาษีนำเข้าในแต่ละเดือนทีละน้อย เพื่อใช้เป็นวิธีต่อรองกับคู่ค้าต่างๆ
ความคาดหวังของตลาดก่อนหน้านี้จากนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่ค่อนข้างจะแข็งกร้าว นำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ต่างๆ เช่น การปรับตัวขึ้นของหุ้นสหรัฐฯ แนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้น บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น
“ถ้าวันนี้มีอะไรที่บิดไปจากคาดการณ์ อย่างกรณีการเจรจากันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดผลกระทบทางบวกได้ทันที เพราะข่าวร้ายสะท้อนอยู่ในราคาไปมาก”
ทั้งนี้ บล.ทรีนีตี้ คาดการณ์ว่าทรัมป์จะเริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะการดำเนินการอย่างรุนแรงในเวลาอันสั้นจะกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองด้วย แต่การเจรจาแบบค่อยเป็นค่อยไปอาจจะผลดีกับทุกฝ่าย
หากประเมินแบบนี้แล้วเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากความหวาดกลัวก่อนหน้านี้อาจจะฟื้นตัวกลับได้ เช่น หุ้นจีนและตราสารในตลาดเกิดใหม่ แต่สินทรัพย์ที่ขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ เช่น หุ้นสหรัฐฯ บอนด์สหรัฐฯ หรือ Bitcoin อาจได้รับผลกระทบ
จับตานโยบายทรัมป์หลังรับตำแหน่ง
ก่อนการเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์จัดงานฉลองคืนก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งครั้งที่ 2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (19 มกราคม) พร้อมกล่าวในงานว่า “พรุ่งนี้เวลา 12.00 น. เราจะปิดม่านช่วงเวลาแห่งความตกต่ำของสหรัฐฯ ที่ยาวนานถึงสี่ปี และเริ่มต้นยุคใหม่ของความแข็งแกร่ง ความรุ่งเรือง ศักดิ์ศรี และความภาคภูมิใจ”
ทรัมป์กล่าวอีกว่า “ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเข้ารับตำแหน่ง ผมจะลงนามในคำสั่งบริหารเกือบ 100 ฉบับ”
รวมทั้งการประกาศว่าบริษัท TikTok จะกลับมาให้บริการอีกครั้ง หลังจากเขาสัญญาว่าจะใช้คำสั่งบริหารเพื่อชะลอการแบนในเชิงกฎหมาย พร้อมเสนอแนวทางให้สหรัฐฯ ถือหุ้น 50% ของ TikTok
อีกหนึ่งนโยบายสำคัญคือการยกเลิกข้อจำกัดของรัฐบาลไบเดนเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำมันและก๊าซในพื้นที่ของรัฐบาลกลาง และการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบด้านสภาพอากาศ
ทรัมป์ระบุว่าพลังงานมีความสำคัญต่อการรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
“เราจำเป็นต้องมีพลังงานเพิ่มขึ้นสองเท่า และอาจมากกว่านั้น เพื่อรองรับอนาคต” ทรัมป์กล่าวในงานฉลองที่ Capital One Arena
รวมถึงแผนลงนามในคำสั่งบริหารที่มุ่งจำกัดการเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเนรเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ทรัมป์ได้หยุดพักเพื่อฉายวิดีโอที่รวบรวมรายงานข่าวซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้อพยพเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของสาธารณชน
ภาพ: Anna Moneymaker / Shutterstock
อ้างอิง: