7 นางฟ้าของตลาดหุ้นไทย

เข้าใจ เหนื่อยใจ และท้อใจ คือ 3 คำที่ผมได้รับและรู้สึกเช่นเดียวกับนักลงทุนน้อยใหญ่ในตลาดหุ้นไทยตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย หรือเพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซีย ต่างสร้างผลตอบแทนได้อย่างล้นหลาม

ปีนี้ยังคงเป็นปีที่ดูแล้วหนักสำหรับไทย โดยสาเหตุของการปรับตัวลงนั้นคงไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว ทั้งเศรษฐกิจไทยที่โตช้ากว่าประเทศข้างเคียง ปัจจัยเฉพาะตัวของหุ้นขนาดกลาง-เล็ก และวิกฤตศรัทธาในตลาดหุ้น อย่างที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวไว้ว่า 3 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดทุนไทยประกอบไปด้วย Trust (ความเชื่อใจ), Confidence (ความมั่นใจ) และ Sentiment (ความเชื่อมั่น)

ในบทความนี้ผมจึงอยากนำเสนอทางรอดให้กับบรรดานักเลงหุ้นว่าเราจะต้องเดินหมากกันอย่างไร หากทุกอย่างยังเหมือนเดิม

ประการแรก: ขอแนะนำให้รู้จักกับ 7 นางฟ้า

เมื่อไม่นานมานี้ผมไปเจอสถิติที่น่าสนใจของหุ้น 7 ตัวในตลาด และพบว่าหุ้น 7 ตัวนั้น Outperform SET Index ในปี 2024 (-2.3%) อย่างมีนัยสำคัญ

โดย หุ้น 7 ตัวดังกล่าวประกอบไปด้วย DELTA (+67.1%), กลุ่ม New Co (GULF, ADVANC, INTUCH) (+33.2%) และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 ตัว (SCB, KBANK, BBL) (+7.9%)

ประการที่สอง: การดำเนินธุรกิจของ 7 นางฟ้า

สาเหตุที่ 7 นางฟ้าแห่งตลาดทุนไทยสามารถเอาชนะ SET ได้ขาดลอย นั่นก็เพราะว่าทั้ง DELTA และ กลุ่ม New Co (GULF) ต่างอยู่ในธุรกิจที่ไม่ใช่ Sunset หรือ Old Economy นั่นคือ Data Center

ยอดขายกลุ่ม Data Center ของ DELTA (เช่น Power Supply และระบบทำความเย็นสำหรับ Data Center) เติบโตถึง 19%YoY และ 15%QoQ และมีสัดส่วน 28% ของยอดขายรวมใน 3Q24 มากไปกว่านั้นยอดขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ AI ของ DELTA มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นใกล้แตะ 10% ของยอดขายทั้งหมดแล้ว

เฉกเช่นเดียวกันกับ GULF และ INTUCH ที่ประกาศควบรวมกิจการจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ (New Co) เตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนในน่านน้ำใหม่อย่าง Data Center ด้วยพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง Singtel และความพร้อมทางด้านสื่อสารและสาธารณูปโภค

แม้กลุ่มธนาคารจะยังอยู่ในธุรกิจ Old Economy แต่เหตุผลที่ราคาหุ้น Outperform นั่นก็เพราะความรัดกุมในการปล่อยสินเชื่อไปยังภาคธุรกิจต่างๆ ทำให้ยังรักษาผลกำไรเอาไว้ได้ ผลกระทบจึงตกลงสู่ภาคส่วนธุรกิจอื่นๆ จากสภาพคล่องที่ตึงตัว

ประการสุดท้าย: ทำไม 7 นางฟ้าลงไม่ได้

จากการวิเคราะห์ของ CGS International และตลาด ราคาหุ้น DELTA ที่ปรับขึ้นหรือลง 1 บาทจะส่งผลต่อ SET ราว 1.2 จุด นั่นแปลว่าถ้า DELTA ลง 10 บาท SET จะปรับตัวลง 12 จุด จากระดับ SET ณ ปัจจุบัน ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเห็นหุ้นไทยลดลงไปมากกว่านี้แล้ว ทั้งผม, ผู้อ่าน, นักลงทุน, ผู้กำหนดนโยบาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

อีกประเด็นก็คือเรื่องของผลตอบแทน หากนักลงทุนสถาบันหรือผู้จัดการกองทุนทั้งในและต่างประเทศไม่ได้มีหุ้น 7 นางฟ้ามาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

มีความเป็นไปได้สูงที่กองทุนรวมของผู้จัดการกองทุนนั้นๆ จะ Underperform กองทุนอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความละเอียดอ่อน โดยเฉพาะกองทุน Active Fund (ที่ต้องทำผลตอบแทนให้ได้สูงกว่าตลาดและกองทุนรวมคู่แข่ง)

ดังนั้นแม้ว่า 7 นางฟ้าจะมีราคาแพงแสนแพงแค่ไหน ผู้จัดการกองทุนก็ต้องมีของอยู่ดี เพราะถ้า SET ลง เราเท่าทุน แต่หาก SET ขึ้น แล้วไม่มี…แพ้ทันที

มากไปกว่านั้นหากมองภาพไปดูในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มไฟแนนซ์ ที่แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากมาย แต่เศรษฐกิจฐานรากยังไม่ฟื้น กลุ่มปิโตรเคมีที่โดนผลกระทบจากสเปรดที่อ่อนตัวและกำลังการผลิตที่ล้นจากประเทศจีน, กลุ่มส่งออกที่โดนผลกระทบจากการเข้ามาของ โดนัลด์ ทรัมป์ และ Global Minimum Tax, กลุ่มโรงพยาบาลที่โดนผลกระทบจากประเด็นใหม่ นั่นคือ Co-Payment กับบริษัทประกันสุขภาพ, กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จากประเด็นค่าไฟ 3.70 บาทต่อหน่วย และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีประเด็นสต็อกค้าง อุปสงค์อ่อนแอ ดอกเบี้ยนโยบายที่ยังค้างสูง เท่ากับว่าตอนนี้หุ้นไทยไปกลุ่มไหนไม่ได้เลย

เมื่อนำประเด็นทั้งหมดมาพิจารณาร่วมกันกับการประกอบธุรกิจ, ผลกระทบ, ผลตอบแทน และค่าเสียโอกาส ในการไม่มีหุ้น 7 นางฟ้า จึงไม่แปลกใจว่าทำไมวันที่หุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่า 20 จุด ลดลงทั้งตลาด แต่ DELTA กลับบวกได้อยู่ตัวเดียวในวันนั้น

ดังนั้นทางรอดของนักลงทุนหุ้นไทยในปี 2025 โดยเฉพาะใน 1Q25 คือ เก็งกำไรระยะสั้นไปกับ 7 นางฟ้า หรือลงซื้อ ขึ้นขาย รอจังหวะที่ SET กลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ค่อยกลับไปหาจังหวะลงทุนในกลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล หรืออสังหา

ก็ได้แต่หวังให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ…ยิ่งเร็วยิ่งดีกับทุกคนครับ