หากมองเข้าไปยังพอร์ตของ ‘ไมเนอร์ ฟู้ด’ จะพบว่ามีแบรนด์ร้านสเต็กในมืออยู่แล้วนั่นคือ Sizzler ที่เปิดมานาน 30 กว่าปี แต่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาคลอดแบรนด์น้องใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาเองอย่าง ‘The Steak & More’ ที่ย้ำว่าเมื่อเดินเข้าร้านคนเดียวจ่ายเงินแค่ 200 บาทก็มีทอน
The Steak & More ถูกวางให้เป็นแบรนด์แมสที่เข้าถึงง่าย ตัดสินใจกินง่าย สามารถกินได้ทุกวัน ดังนั้นจึงวางราคาเริ่มต้นที่ 129 บาท ไปจนถึง 239 บาท จับกลุ่มนักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน จนถึงผู้บริโภคทั่วไป โดยราคานี้ยังไม่รวมน้ำแบบรีฟิลอีก 59 บาท
แตกต่างจาก Sizzler ที่จับลูกค้าในกลุ่มพรีเมียมแมส สะท้อนจากยอดใช้จ่ายต่อบิลอยู่ที่ราว 376 บาท ดังนั้นไมเนอร์ ฟู้ด จึงมั่นใจว่าทั้ง 2 แบรนด์จะไม่ดึงลูกค้ากันเอง และสามารถเปิดในทำเลเดียวกันได้หากพื้นที่นั้นมีศักยภาพ
อนุพนธ์ นิธิยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) อธิบายว่า สำหรับไมเนอร์ ฟู้ด การได้ลูกค้าใหม่หรือตลาดใหม่ไม่จำเป็นที่ต้องเข้าสู่เซ็กเมนต์ใหม่ เพราะอย่าง Sizzler เมื่อเข้าสู่ตลาดบนมากขึ้น ก็มีพื้นที่ให้แบรนด์ใหม่ที่ต้องจับกลุ่มลูกค้าแมสเข้ามา
ดังนั้น The Steak & More จึงจะเข้าไปทดแทนช่องว่างเดิมที่เคยเป็นของ Sizzler มาก่อน และด้วยความเป็นเชนร้านอาหารขนาดใหญ่และอยู่ในตลาดนี้มานาน จึงมีความเข้าใจผู้บริโภคตลอดจนซัพพลายเชนต่างๆ อยู่ในมือ ซึ่งสร้างความได้เปรียบให้กับ The Steak & More
ด้วยเหตุนี้แม้ The Steak & More จะต้องเผชิญกับคู่แข่งโดยตรงอย่างแบรนด์ Eat Am Are หรือ Santa Fe’ Steak แต่ก็มีความมั่นใจว่าจะสามารถสู้ได้ นอกเหนือจากราคาที่ทำให้เข้าถึงได้ The Steak & More ก็เลือกที่จะทำ ‘ไซด์ดิช’ ให้ถูกปากลูกค้าคนไทยกว่า 20 อย่าง ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ ลาบ หรือยำวุ้นเส้นโบราณที่ไม่ค่อยได้เห็นกันมากนัก
ถึงสาขาแรกของ The Steak & More จะเปิดที่ชั้น 2 เซ็นทรัล เวสต์เกต ซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เพราะต้องการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก แต่โลเคชันหลักๆ ที่จะไปเปิดนั้นจะเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตหรือคอมมูนิตี้มอลล์เสียมากกว่า
โดยจะใช้พื้นที่ร้านราว 150-220 ตารางเมตร ทำให้ไม่ต้องกังวลมากนักเกี่ยวกับการลงทุน หากเจอพื้นที่เหมาะสมก็สามารถไปเปิดได้เลย
“ในขณะที่กลุ่มพรีเมียมต้องแข่งกับการออกเมนูใหม่หรือโปรโมชันเพื่อดึงลูกค้า แต่สิ่งเหล่านี้จะตรงข้ามกับ The Steak & More ที่เน้นรักษาคุณภาพอาหารและการบริการ โดยมีความท้าทายคือการหมุนเวียนลูกค้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” อนุพนธ์ระบุ
ภายใน 3 ปีนี้มีการปักธงขยายสาขาให้ได้ 70 แห่ง ลงทุน 6-10 ล้านบาทต่อแห่ง ตั้งเป้าคืนทุนภายใน 3 ปี พร้อมๆ กับการมียอดขายไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาทต่อเดือนต่อสาขา