×

แสตมป์ อภิวัชร์ เปิดใจหลังพักงานไปนาน เนื่องจากภรรยาถูกคุกคามเป็นเวลากว่า 10 ปี

17.01.2025
  • LOADING...
แสตมป์ อภิวัชร์ เปิดใจบนเวที Wednesday Song

เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข นักร้องชื่อดัง เปิดใจกลางเวทีคอนเสิร์ต Wednesday Song ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ถึงกรณีการฟ้องร้องของเขาและภรรยาอย่าง นิว-จีริสุดา ศรีวัฒน์ ว่าการที่ตนหายไปจากการปล่อยผลงานเพลงและการรับงานคอนเสิร์ตในช่วงปีที่ผ่านมา เพราะดำเนินการฟ้องร้องบุคคลที่เข้ามาบุกรุกภรรยาของเขาหลังเวที และสร้างความเกลียดชังให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งที่ไม่รู้จักภรรยาของเขามาก่อน ตั้งแต่ในปี 2565 จนถึงในปัจจุบัน

 

แสตมป์กล่าวว่า ภรรยาของเขาไม่อยากให้เรื่องเป็นข่าว จึงใช้วิธีการหลบเลี่ยง แต่จำเลยก็ยังคงตามรังควานและสร้างสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยเขาเล่าถึงรายละเอียดการกระทำของบุคคลดังกล่าวและเหตุการณ์การฟ้องร้องทั้งหมดเอาไว้ดังนี้

 

 

“มีคนคนหนึ่งสร้างสถานการณ์ให้เกิดความเกลียดชัง สร้างความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับภรรยาของผมทั้งในและนอกวงการเพลง ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้จักกับภรรยาของผมเป็นการส่วนตัวมาก่อน จนทำให้มีคนหลงเชื่อและมาโพสต์ข้อความโจมตี และบุกรุกเข้ามาถึงหลังเวทีจนผมทำงานไม่ได้ เขาโผล่หน้ามาให้ภรรยาของผมรู้สึกรำคาญใจมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว จนเรื่องมันร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2565 ที่มีแฟนของเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทำงานในวงดนตรีวงหนึ่ง ทำให้เขามีป้ายห้อยคอที่สามารถเดินเข้าหลังเวทีได้ตามอำเภอใจ

 

แสตมป์ อภิวัชร์ เปิดใจบนเวที Wednesday Song

 

“ขณะที่ผมร้องเพลงอยู่บนเวที ทั้งสองคนนี้มักจะมาสร้างสถานการณ์โดยการมานั่งร้องไห้อยู่ข้างภรรยาของผมโดยที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ภรรยาของผมก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องราวและเป็นข่าว จึงใช้วิธีการหลบเลี่ยง ขอไม่รับงานร่วมกับวงดนตรีวงนี้ไปก่อน จนมาถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 ผมต้องไปเล่นในงานเฟสติวัลร่วมกับวงดนตรีวงนี้และขอยกเลิกไม่ทัน ในวันงานทั้งสองคนนั้นก็บุกรุกเข้ามาต่อว่า หาเรื่องภรรยาของผม โดยมีคนอัดคลิปวิดีโอเอาไว้ด้วย และนำไปบอกคนในวงการเพลงว่าบังเอิญได้เจอกับภรรยาของผมหลังเวที และถูกภรรยาของผมคุกคามโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นผมจึงจ้างบอดี้การ์ดเพื่อลาดตระเวนหาทั้งคู่ก่อนจะเริ่มงานทุกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองคนนี้จะลาออกจากวงดนตรีนั้นไป

 

“ผ่านไปไม่นาน สองคนนี้ก็ย้ายไปอยู่กับอีกวงดนตรีหนึ่ง ผมจึงขอไม่รับงานร่วมกับวงดนตรีนี้เพื่อความปลอดภัยเช่นเดิม จนถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2566 ผมก็เจอจำเลยคนนี้ดักรออยู่ที่งาน และเหมือนเดิมที่เขานำเรื่องไปบอกคนอื่นว่าถูกภรรยาของผมคุกคามหลังเจอกันโดยบังเอิญอย่างไม่มีเหตุผล ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2566 ทั้งคู่ก็ไปนั่งดักรอเจ้าของค่ายเพลงค่ายหนึ่งโดยที่ไม่รู้จักกันมาก่อน โดยไปร้องไห้และเล่าว่าตนรู้สึกไม่ปลอดภัยและถูกคุกคามโดยภรรยาของผม ก่อนที่ผู้ใหญ่จะติดต่อมาหาผมและทราบว่าพวกเราเองที่กำลังเดือดร้อน

 

“ในปีต่อมา ผู้ใหญ่ท่านนี้ก็ไปขึ้นศาลพร้อมกับผม เพื่อเป็นพยานว่าสองคนนี้มาทำลายชื่อเสียงภรรยาของผม ผมเคยโทรไปหานักร้องนำในวงที่สองคนนี้สังกัดอยู่ โดยตลอดการสนทนาผมรู้ว่าเขาอัดเสียงการสนทนาของผมเอาไว้ ซึ่งตัวนักร้องนำเองคงทราบเรื่องราวจากสองคนนั้นก่อนแล้ว และเข้าใจว่าภรรยาของผมไปคุกคามสองคนนั้น แต่ภรรยาของผมจะไปคุกคามเขาก่อนได้อย่างไร เมื่อทุกครั้งที่เกิดเหตุ เราเช็กอย่างดีแล้วว่าไม่มีวงคุณ อีกทั้งพวกผมยังต้องใช้บอดี้การ์ดเพื่อป้องกันพวกเขาอยู่เลย 

 

“ระหว่างที่ไปศาลในปี 2567 พ่อของจำเลยท่านนี้เป็นทหารยศนายพลจากจังหวัดพิษณุโลก มาขึ้นศาลแทนลูกของเขาและขอให้ผมกับภรรยาถอนฟ้อง มิเช่นนั้นผมจะโดนคดีทางการเมือง ผมโดนครอบครัวนี้คุกคามมาเรื่อยๆ จนผมต้องสั่งให้แอดมินปิด OpenChat และยกเลิกการแจ้งตารางงานของผมทั้งหมด เพื่อให้ครอบครัวนี้ไม่บุกรุกเข้ามาตามงาน จำเลยท่านนี้ไม่ได้ตามแค่ตารางงานของผม แต่ตามไปถึงปั๊มน้ำมัน หน้าโรงแรม และเคยนั่งข้างผมบนเครื่องบินด้วย หลังจากนั้นผมต้องไม่ขอรับงานภาคอื่นในประเทศที่ต้องขึ้นเครื่องบินอีกเลย

 

 

“ก่อนที่วันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ภรรยาของผมจะชนะคดีนี้ด้วยการรับสารภาพของจำเลยเอง และเขากล่าวว่าจะไม่ยุ่งกับภรรยาของผมอีก แต่หลังจากนั้นสองสัปดาห์ถัดมา ผมก็ถูกคนกลุ่มเดิมต่อว่า ถูกแขวนด่าในโซเชียล ผมติดต่อไปที่วงดนตรีที่เขาสังกัดอยู่ เขาก็ปิดประตูใส่ผมและบอกว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมอยากจะบอกเขาว่า ศาลมีคำสั่งแล้วว่าถ้าสองคนนั้นทำพฤติกรรมเช่นเดิมจะถูกจำคุกทันที และถ้าวันนั้นมาถึงและเขาใส่ป้ายห้อยคอชื่อวงคุณ คุณจะไม่เกี่ยวได้อย่างไร สถานการณ์ตอนนี้แทบไม่ต่างจากตอนก่อนไปศาลเลย 

 

“ผมจึงขอใช้เวทีแห่งนี้ประกาศ คนคนนั้นที่สร้างความเกลียดชังแก่ภรรยาของผม เขายอมแพ้ไปแล้วในศาล จงทบทวนตัวเองให้ดี เพราะผมจะไม่เจรจาอีกแล้ว ต่อไปเราจะสู้กันด้วยศาลอย่างเดียว ผมฝากถึงท่านนายพลด้วย ท่านควรรักลูกของท่านด้วยการดูแลให้เขาอยู่ในบ้าน ไม่ให้มาหาเรื่องภรรยาของผมอีก และถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมคงต้องเปิดศึกในสื่อ และคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นใคร สุดท้ายผมขอขอบคุณทุกท่านที่สนับสนุนผมและครอบครัวมาตลอด 20 ปีครับ”

 

 

โดยก่อนหน้านี้ แสตมป์ปล่อยเพลงชื่อ SASAENG (ซาแซง) เพื่อใช้ประกอบการฟ้องร้อง โดยมีเนื้อหาเล่าถึงการที่ภรรยาของเขาถูกใส่ร้าย ซึ่งเขาพร้อมที่จะปกป้องภรรยาจนถึงที่สุด ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนก็ตาม ซึ่งคำว่า ‘ซาแซง’ เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มแฟนคลับที่คลั่งไคล้ในตัวศิลปินมากจนเกินขอบเขตในภาษาเกาหลี และติดตามศิลปินแม้ในเวลาส่วนตัวของพวกเขาอีกด้วย

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising