Netflix ยอมจ่ายเงิน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 5.1 พันล้านบาท เพียงเพื่อแลกกับการถ่ายทอดสดศึกอเมริกันฟุตบอล ‘NFL’ ในวันพิเศษ ‘Christmas Day’ แค่ 2 นัดเท่านั้น ในคู่ระหว่างพิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส พบแชมป์เก่า แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ (เวลา 01.00 น.) และอีกคู่คือ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ ไปเยือนฮูสตัน เท็กซันส์ (เวลา 04.30 น.) ซึ่งใครเป็นสมาชิก Netflix สามารถรับชมกันได้ในคืนนี้
เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายขึ้น ในขณะที่ JAS จ่ายค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศไทย 6 ฤดูกาล ราว 1.9 หมื่นล้านบาท คิดเฉลี่ยต่อฤดูกาลแล้วประมาณฤดูกาลละ 3 พันล้านบาท แต่ได้จำนวนเกมถ่ายทอดสดทั้งพรีเมียร์ลีก 380 นัด โดยไม่นับฟุตบอลเอฟเอคัพและคอนเทนต์อื่นๆ
อย่างไรก็ดี สองดีลนี้ไม่สามารถนำมาเทียบกันได้โดยตรง เพราะเป็นแอปเปิ้ลกับส้ม คนละเรื่องเดียวกัน เพียงแต่หยิบยกมาเพราะอยากชวนให้คิดตามกันว่า ทำไม Neflix เจ้าแห่งวงการสตรีมมิ่งความบันเทิงของโลก จึงยอมควักเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้กับศึกอเมริกันฟุตบอล NFL
นี่เป็นสัญญาณอะไรจาก Netflix ที่ส่งถึงโลกกีฬาในอนาคตหรือเปล่า?
ปกติแล้วในช่วงส่งท้ายปีแบบนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ทุกคนจะได้ใช้จ่ายวันเวลาร่วมกัน โดยเฉพาะชาวตะวันตกที่เป็นช่วงวันครอบครัว ที่สมาชิกทุกคนไม่ว่าจะไปอยู่แห่งหนตำบลไหนก็จะหาทางกลับมารวมตัวกันเหมือนเทศกาลสงกรานต์ของประเทศไทย
นักกีฬาเองก็ไม่ต่างกัน พวกเขาจะได้หยุดพักเพื่อใช้เวลาอยู่กับครอบครัวบ้าง หลังการทำงานหนักทั้งการฝึกซ้อมและการเดินทางไม่หยุดหย่อนเพื่อแข่งขัน ซึ่งช่วงปลายปีแบบนี้ยังเป็นช่วงที่อากาศหนาวเหน็บ ถ้าเลือกได้ใครก็อยากจะนอนขดตัวในบ้านอุ่นๆ มากกว่า
แต่จะมีกีฬาบางประเภทที่ไม่ได้หยุดตามไปด้วย ซึ่งคนไทยอาจจะคุ้นเคยกับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในช่วงโปรแกรมส่งท้ายปี ที่ในปีนี้มีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘The Festive Fixtures’ ที่จะมีเกมลงสนามมากถึง 17 นัดด้วยกันในช่วง Boxing Day ไปจนถึงช่วงปีใหม่
อย่างไรก็ดี อเมริกันเกมส์ก็มีการแข่งขันเหมือนกัน ซึ่งมีทั้งบาสเกตบอล NBA และอเมริกันฟุตบอล NFL ที่ไม่ได้แค่ลงแข่งกันใน Boxing Day เท่านั้น แต่ลงแข่งกันในวันคริสต์มาสเลยด้วย
โปรแกรมในวันคริสต์มาสนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ ‘วัฒนธรรม’ (Culture) ที่มีความสำคัญในอเมริกันเกมส์เท่านั้น แต่มีความสำคัญในเรื่องของธุรกิจ (Business) ด้วย
ในอดีตหากพูดถึงการแข่งในวันคริสต์มาสแล้ว อเมริกันชนจะคิดถึงการนั่งชมบาสเกตบอล NBA ซึ่งมีต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 50 ปี เพียงแต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าอเมริกันฟุตบอล NFL กลายเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากกว่า
กระจกสะท้อนถึงความนิยมของกีฬาทั้งสองชนิดนี้ที่นับวันก็ยิ่งสวนทางกันคือตัวเลขที่ชัดเจน โดยในปีที่ผ่านมา NBA เรตติ้งตกลงมา 25 เปอร์เซ็นต์จากปีกลาย และหากเทียบกับปี 2012 แล้วตกลงอย่างน่าใจหายถึง 48 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ขณะที่ NFL ยิ่งโตเอาๆ และกำลังกลายเป็น Global Game กีฬาที่ได้รับความนิยมจากแฟนทั่วโลก
จำนวนผู้ชมเฉลี่ยของ NFL ในปีที่ผ่านมาสูงถึง 28.4 ล้านคนต่อการแข่งขัน 1 นัด มากกว่า NBA ที่มีจำนวนผู้ชมเฉลี่ย 2.85 ล้านคนต่อการแข่งขัน 1 นัดถึงเกือบ 10 เท่า
และที่น่าจับตามองมากๆ คือเกมวันคริสต์มาส (Christmas Day) ที่มีจำนวนผู้ชม 21.6 ล้านคนในปี 2022 ก่อนจะเพิ่มเป็น 28.4 ล้านคนในปี 2023
จำนวนผู้ชมขนาดนี้ทำให้ NFL ที่เคยออกตัวว่าจะไม่จัดโปรแกรมลงช่วงวันคริสต์มาสต้องกลืนน้ำลาย
นี่คือขุมทรัพย์ใหม่ของพวกเขา และมีคนที่มองออกเช่นกันว่านี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการกระโจนเข้าวงการกีฬา
คนที่มองออกนั้นมีชื่อว่า Netflix
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Netflix ประกาศว่าได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด NFL เกมวันคริสต์มาสเป็นระยะเวลา 3 ปีด้วยกัน
โดยในปี 2024 จะมีจำนวนเกมทั้งหมด 2 นัด
แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ vs. พิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส
บัลติมอร์ เรฟเวนส์ vs. ฮูสตัน เท็กซันส์
หมายเหตุ: ผังโปรแกรมสไตล์อเมริกันเกมส์ ทีมหลังคือเจ้าบ้าน
ราคาที่ Netflix จ่ายเพื่อแลกกับการถ่ายทอดสด 2 นัดนี้อยู่ที่ 150 ล้านดอลลาร์ หรือหารแล้วตกนัดละ 75 ล้านดอลลาร์ด้วยกัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลอย่างมาก มากพอสำหรับงบประมาณในการสร้างซีรีส์ดีๆ สักเรื่องได้เลยทีเดียว
โดยที่ยังไม่รวมคอนเทนต์แวดล้อมอื่นๆ เช่น วิดีโอการแสดงของ Mariah Carey กับเพลงฮิตอันดับหนึ่งตลอดกาลของเทศกาลคริสต์มาสอย่าง All I Want for Christmas Is You ที่เตรียมจะฉายก่อนเกมระหว่างชีฟส์กับสตีลเลอร์ส และการแสดงสด Halftime Show จาก Beyoncé ในเกมระหว่างเรฟเวนส์กับเท็กซันส์
อย่างไรก็ดี สำหรับ Netflix แล้วพวกเขามองว่านี่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า โดยมีเหตุผลดีๆ ประกอบ คือ
“เพราะ NFL คือ The Greatest Show ของอเมริกัน”
การคว้า 2 เกมในวันคริสต์มาส ซึ่งเป็นวันที่ชาวอเมริกันทุกคนจะได้ใช้เวลาร่วมกันนั่งชมเกมการถ่ายทอดสดไปด้วยกันโดยไม่มีใครมาแย่งซีน นี่เป็นโอกาสที่จะโกย Eyeball จำนวนมากมายมหาศาล โดยที่ Netflix สามารถจะเล่นอะไรก็ได้ในการทำการตลาดในวันแห่งความสุขนี้
โดยที่ประสบการณ์และความทรงจำคือสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้
และอย่าลืมว่าเพราะเป็นแพลตฟอร์ม Netflix นั่นหมายถึงผู้ชมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐอเมริกา แต่เป็นผู้ชมบนโลกทั้งใบ
จำนวนผู้ชมที่คาดหวังได้ในการถ่ายทอดสด 2 นัดนี้ย่อมมีโอกาสไปไกลกว่า 28.4 ล้านคนของเกม NFL วันคริสต์มาสที่แล้ว โดยจำนวนสมาชิกของ Netflix ในปัจจุบันอยู่ที่ 283 ล้านคน มากกว่า Disney+ (158 ล้านคน) และ HBO Max (99 ล้านคน) พอสมควร
ก่อนหน้านี้ไฟต์หยุดโลกประจำปี 2024 เมื่อ เจค พอล ยูทูเบอร์ที่หันมาเอาดีทางการชกมวย ท้าชกกับตำนานตลอดกาล ‘มฤตยูดำ’ ไมค์ ไทสัน มีผู้ชมมากถึง 60 ล้านครัวเรือน – ซึ่งในแต่ละครัวเรือนก็มีจำนวนสมาชิกมากกว่า 1 คนอยู่แล้ว
จำนวนผู้ชมมหาศาลขนาดนี้คือ ‘นาทีทอง’ สำหรับแบรนด์ต่างๆ ที่อยากจะเกาะไปกับเกมการแข่งขัน 2 นัดนี้
ไม่นับแบรนด์ที่เป็นพาร์ตเนอร์ของ Netflix ซึ่งมีแพ็กเกจราคาถูกสำหรับสมาชิกที่แลกมากับการฉายโฆษณาด้วย
เป็นโมเดลธุรกิจที่ไม่เลวเลยสำหรับ Live Sport
การถ่ายทอดสด NFL ทั้งสองนัดในคืนนี้ยังเป็นเหมือนการ ‘ยืดเส้น’ ของ Netflix ที่เริ่มให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับคอนเทนต์กีฬามากขึ้นตามลำดับ
จากความสำเร็จของสารคดีชุด Formula 1: Drive to Survive (ปัจจุบันมี 6 ซีซัน และในปีหน้าซีซันที่ 7 คาดว่าจะเดือดจัดๆ จากหลายเหตุการณ์) จนถึง The Last Dance ที่ทำให้เกิดสารคดีกีฬาดีๆ อีกมากมายจนตามดูกันไม่หวาดไม่ไหว
Netflix ลองแหย่ขาในเรื่องของการถ่ายทอดสดกีฬามาบ้างในกีฬาเทนนิส The Netflix Slam ที่จับเอา คาร์ลอส อัลคาราซ มาดวลกับตำนานที่เป็นฮีโร่ของเขาอย่าง ราฟาเอล นาดาล และ The Netflix Cup การแข่งขันกอล์ฟที่รวบรวมเอาเหล่าโปรฝีมือดีมาแข่งขันกัน
จนถึงล่าสุดไฟต์ระหว่างพอลกับไทสันที่ถึงจะไม่ได้เป็นไฟต์ที่มันหยดแบบที่คุยโว – ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะสภาพของไทสันนั้นอายุ 58 ปีแล้ว ยืนครบยกก็เหลือเชื่อแล้ว
และ ‘Christmas Day’ ในวันนี้ที่ไม่ต่างอะไรจากการประกาศตัวอย่างเป็นทางการว่าต่อไป Netflix จะมี Live Sport ให้ดูด้วย
อย่างน้อยในปีหน้าเรารู้แล้วว่ามีศึกมวยปล้ำ WWE ที่เซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์มาด้วยราคากว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งจะมีให้ชมกันต่อเนื่อง และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน Netflix เพิ่งบรรลุข้อตกลงกับ FIFA ในการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกหญิง 2027 และ 2031 ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลหญิง
โดยที่หลังจากนี้อาจจะมีข่าวดีสำหรับชาวกีฬาออกมาอีก
เพราะในวงการกีฬายอมรับกันว่าการถ่ายทอดสดกีฬาได้เปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคที่ 3 แล้ว
และนั่นคือยุคสมัยของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Netflix
อ้างอิง:
- https://www.forbes.com/sites/dbloom/2024/12/18/will-netflix-unwrap-a-big-christmas-day-present-with-two-nfl-games/
- https://nypost.com/2024/05/16/sports/netflix-paying-150-million-for-2024-nfl-christmas-games/?utm_source=chatgpt.com
- https://www.aaronjeremymiller.com/p/why-netflix-will-win-in-sports
- https://huddleup.substack.com/p/inside-netflixs-150-million-bet-on