×

NFL Christmas Day การยืดเส้นของ Netflix ก่อนลงสนามกีฬาปี 2025

25.12.2024
  • LOADING...
NFL Christmas Day

HIGHLIGHTS

6 MIN READ
  • ราคาที่ Netflix จ่ายเพื่อแลกกับการถ่ายทอดสด 2 นัดนี้อยู่ที่ 150 ล้านดอลลาร์ หรือหารแล้วตกนัดละ 75 ล้านดอลลาร์ด้วยกัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลอย่างมาก มากพอสำหรับงบประมาณในการสร้างซีรีส์ดีๆ สักเรื่องได้เลยทีเดียว
  • การถ่ายทอดสด NFL ทั้งสองนัดในคืนนี้ยังเป็นเหมือนการ ‘ยืดเส้น’ ของ Netflix ที่เริ่มให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับคอนเทนต์กีฬามากขึ้น ตามลำดับ
  • ในปีหน้าเรารู้แล้วว่ามีศึกมวยปล้ำ WWE ที่เซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์มาด้วยราคากว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งจะมีให้ชมกันอย่างต่อเนื่อง และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน Netflix เพิ่งบรรลุข้อตกลงกับ FIFA ในการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกหญิง 2027 และ 2031 ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลหญิง

Netflix ยอมจ่ายเงิน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 5.1 พันล้านบาท เพียงเพื่อแลกกับการถ่ายทอดสดศึกอเมริกันฟุตบอล ‘NFL’ ในวันพิเศษ ‘Christmas Day’ แค่ 2 นัดเท่านั้น ในคู่ระหว่างพิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส พบแชมป์เก่า แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ (เวลา 01.00 น.) และอีกคู่คือ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ ไปเยือนฮูสตัน เท็กซันส์ (เวลา 04.30 น.) ซึ่งใครเป็นสมาชิก Netflix สามารถรับชมกันได้ในคืนนี้

 

เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายขึ้น ในขณะที่ JAS จ่ายค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศไทย 6 ฤดูกาล ราว 1.9 หมื่นล้านบาท คิดเฉลี่ยต่อฤดูกาลแล้วประมาณฤดูกาลละ 3 พันล้านบาท แต่ได้จำนวนเกมถ่ายทอดสดทั้งพรีเมียร์ลีก 380 นัด โดยไม่นับฟุตบอลเอฟเอคัพและคอนเทนต์อื่นๆ

 

อย่างไรก็ดี สองดีลนี้ไม่สามารถนำมาเทียบกันได้โดยตรง เพราะเป็นแอปเปิ้ลกับส้ม คนละเรื่องเดียวกัน เพียงแต่หยิบยกมาเพราะอยากชวนให้คิดตามกันว่า ทำไม Neflix เจ้าแห่งวงการสตรีมมิ่งความบันเทิงของโลก จึงยอมควักเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้กับศึกอเมริกันฟุตบอล NFL

 

นี่เป็นสัญญาณอะไรจาก Netflix ที่ส่งถึงโลกกีฬาในอนาคตหรือเปล่า?

 

NFL Christmas Day

 

ปกติแล้วในช่วงส่งท้ายปีแบบนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ทุกคนจะได้ใช้จ่ายวันเวลาร่วมกัน โดยเฉพาะชาวตะวันตกที่เป็นช่วงวันครอบครัว ที่สมาชิกทุกคนไม่ว่าจะไปอยู่แห่งหนตำบลไหนก็จะหาทางกลับมารวมตัวกันเหมือนเทศกาลสงกรานต์ของประเทศไทย

 

นักกีฬาเองก็ไม่ต่างกัน พวกเขาจะได้หยุดพักเพื่อใช้เวลาอยู่กับครอบครัวบ้าง หลังการทำงานหนักทั้งการฝึกซ้อมและการเดินทางไม่หยุดหย่อนเพื่อแข่งขัน ซึ่งช่วงปลายปีแบบนี้ยังเป็นช่วงที่อากาศหนาวเหน็บ ถ้าเลือกได้ใครก็อยากจะนอนขดตัวในบ้านอุ่นๆ มากกว่า

 

แต่จะมีกีฬาบางประเภทที่ไม่ได้หยุดตามไปด้วย ซึ่งคนไทยอาจจะคุ้นเคยกับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในช่วงโปรแกรมส่งท้ายปี ที่ในปีนี้มีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘The Festive Fixtures’ ที่จะมีเกมลงสนามมากถึง 17 นัดด้วยกันในช่วง Boxing Day ไปจนถึงช่วงปีใหม่

 

อย่างไรก็ดี อเมริกันเกมส์ก็มีการแข่งขันเหมือนกัน ซึ่งมีทั้งบาสเกตบอล NBA และอเมริกันฟุตบอล NFL ที่ไม่ได้แค่ลงแข่งกันใน Boxing Day เท่านั้น แต่ลงแข่งกันในวันคริสต์มาสเลยด้วย

 

โปรแกรมในวันคริสต์มาสนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ ‘วัฒนธรรม’ (Culture) ที่มีความสำคัญในอเมริกันเกมส์เท่านั้น​ แต่มีความสำคัญในเรื่องของธุรกิจ (Business) ด้วย

 

ในอดีตหากพูดถึงการแข่งในวันคริสต์มาสแล้ว อเมริกันชนจะคิดถึงการนั่งชมบาสเกตบอล NBA ซึ่งมีต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 50 ปี เพียงแต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าอเมริกันฟุตบอล NFL กลายเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากกว่า

 

กระจกสะท้อนถึงความนิยมของกีฬาทั้งสองชนิดนี้ที่นับวันก็ยิ่งสวนทางกันคือตัวเลขที่ชัดเจน โดยในปีที่ผ่านมา NBA เรตติ้งตกลงมา 25 เปอร์เซ็นต์จากปีกลาย และหากเทียบกับปี 2012 แล้วตกลงอย่างน่าใจหายถึง 48 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ขณะที่ NFL ยิ่งโตเอาๆ และกำลังกลายเป็น Global Game กีฬาที่ได้รับความนิยมจากแฟนทั่วโลก

 

จำนวนผู้ชมเฉลี่ยของ NFL ในปีที่ผ่านมาสูงถึง 28.4 ล้านคนต่อการแข่งขัน 1 นัด มากกว่า NBA ที่มีจำนวนผู้ชมเฉลี่ย 2.85 ล้านคนต่อการแข่งขัน 1 นัดถึงเกือบ 10 เท่า

 

และที่น่าจับตามองมากๆ คือเกมวันคริสต์มาส (Christmas Day) ที่มีจำนวนผู้ชม 21.6 ล้านคนในปี 2022 ก่อนจะเพิ่มเป็น 28.4 ล้านคนในปี 2023 

 

จำนวนผู้ชมขนาดนี้ทำให้ NFL ที่เคยออกตัวว่าจะไม่จัดโปรแกรมลงช่วงวันคริสต์มาสต้องกลืนน้ำลาย

 

นี่คือขุมทรัพย์ใหม่ของพวกเขา และมีคนที่มองออกเช่นกันว่านี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการกระโจนเข้าวงการกีฬา

 

คนที่มองออกนั้นมีชื่อว่า Netflix

 

 

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Netflix ประกาศว่าได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด NFL เกมวันคริสต์มาสเป็นระยะเวลา 3 ปีด้วยกัน

 

โดยในปี 2024 จะมีจำนวนเกมทั้งหมด 2 นัด

 

แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ vs. พิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส

บัลติมอร์ เรฟเวนส์ vs. ฮูสตัน เท็กซันส์ 

 

หมายเหตุ: ผังโปรแกรมสไตล์อเมริกันเกมส์ ทีมหลังคือเจ้าบ้าน

 

ราคาที่ Netflix จ่ายเพื่อแลกกับการถ่ายทอดสด 2 นัดนี้อยู่ที่ 150 ล้านดอลลาร์ หรือหารแล้วตกนัดละ 75 ล้านดอลลาร์ด้วยกัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลอย่างมาก มากพอสำหรับงบประมาณในการสร้างซีรีส์ดีๆ สักเรื่องได้เลยทีเดียว

 

โดยที่ยังไม่รวมคอนเทนต์แวดล้อมอื่นๆ เช่น วิดีโอการแสดงของ Mariah Carey กับเพลงฮิตอันดับหนึ่งตลอดกาลของเทศกาลคริสต์มาสอย่าง All I Want for Christmas Is You ที่เตรียมจะฉายก่อนเกมระหว่างชีฟส์กับสตีลเลอร์ส และการแสดงสด Halftime Show จาก Beyoncé ในเกมระหว่างเรฟเวนส์กับเท็กซันส์

 

อย่างไรก็ดี สำหรับ Netflix แล้วพวกเขามองว่านี่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า โดยมีเหตุผลดีๆ ประกอบ คือ

 

“เพราะ NFL คือ The Greatest Show ของอเมริกัน”

 

การคว้า 2 เกมในวันคริสต์มาส ซึ่งเป็นวันที่ชาวอเมริกันทุกคนจะได้ใช้เวลาร่วมกันนั่งชมเกมการถ่ายทอดสดไปด้วยกันโดยไม่มีใครมาแย่งซีน นี่เป็นโอกาสที่จะโกย Eyeball จำนวนมากมายมหาศาล โดยที่ Netflix สามารถจะเล่นอะไรก็ได้ในการทำการตลาดในวันแห่งความสุขนี้

 

โดยที่ประสบการณ์และความทรงจำคือสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้

 

และอย่าลืมว่าเพราะเป็นแพลตฟอร์ม Netflix นั่นหมายถึงผู้ชมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐอเมริกา แต่เป็นผู้ชมบนโลกทั้งใบ

 

จำนวนผู้ชมที่คาดหวังได้ในการถ่ายทอดสด 2 นัดนี้ย่อมมีโอกาสไปไกลกว่า 28.4 ล้านคนของเกม NFL วันคริสต์มาสที่แล้ว โดยจำนวนสมาชิกของ Netflix ในปัจจุบันอยู่ที่ 283 ล้านคน มากกว่า Disney+ (158 ล้านคน) และ HBO Max (99 ล้านคน) พอสมควร

 

ก่อนหน้านี้ไฟต์หยุดโลกประจำปี 2024 เมื่อ เจค พอล ยูทูเบอร์ที่หันมาเอาดีทางการชกมวย ท้าชกกับตำนานตลอดกาล ‘มฤตยูดำ’ ไมค์ ไทสัน มีผู้ชมมากถึง 60 ล้านครัวเรือน – ซึ่งในแต่ละครัวเรือนก็มีจำนวนสมาชิกมากกว่า 1 คนอยู่แล้ว

 

จำนวนผู้ชมมหาศาลขนาดนี้คือ ‘นาทีทอง’ สำหรับแบรนด์ต่างๆ ที่อยากจะเกาะไปกับเกมการแข่งขัน 2 นัดนี้

 

ไม่นับแบรนด์ที่เป็นพาร์ตเนอร์ของ Netflix ซึ่งมีแพ็กเกจราคาถูกสำหรับสมาชิกที่แลกมากับการฉายโฆษณาด้วย

 

เป็นโมเดลธุรกิจที่ไม่เลวเลยสำหรับ Live Sport

 

 

การถ่ายทอดสด NFL ทั้งสองนัดในคืนนี้ยังเป็นเหมือนการ ‘ยืดเส้น’ ของ Netflix ที่เริ่มให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับคอนเทนต์กีฬามากขึ้นตามลำดับ

 

จากความสำเร็จของสารคดีชุด Formula 1: Drive to Survive (ปัจจุบันมี 6 ซีซัน และในปีหน้าซีซันที่ 7 คาดว่าจะเดือดจัดๆ จากหลายเหตุการณ์) จนถึง The Last Dance ที่ทำให้เกิดสารคดีกีฬาดีๆ อีกมากมายจนตามดูกันไม่หวาดไม่ไหว

 

Netflix ลองแหย่ขาในเรื่องของการถ่ายทอดสดกีฬามาบ้างในกีฬาเทนนิส The Netflix Slam ที่จับเอา คาร์ลอส อัลคาราซ มาดวลกับตำนานที่เป็นฮีโร่ของเขาอย่าง ราฟาเอล นาดาล และ The Netflix Cup การแข่งขันกอล์ฟที่รวบรวมเอาเหล่าโปรฝีมือดีมาแข่งขันกัน

 

จนถึงล่าสุดไฟต์ระหว่างพอลกับไทสันที่ถึงจะไม่ได้เป็นไฟต์ที่มันหยดแบบที่คุยโว – ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะสภาพของไทสันนั้นอายุ 58 ปีแล้ว ยืนครบยกก็เหลือเชื่อแล้ว

 

และ ‘Christmas Day’ ในวันนี้ที่ไม่ต่างอะไรจากการประกาศตัวอย่างเป็นทางการว่าต่อไป Netflix จะมี Live Sport ให้ดูด้วย

 

อย่างน้อยในปีหน้าเรารู้แล้วว่ามีศึกมวยปล้ำ WWE ที่เซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์มาด้วยราคากว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งจะมีให้ชมกันต่อเนื่อง และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน Netflix เพิ่งบรรลุข้อตกลงกับ FIFA ในการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกหญิง 2027 และ 2031 ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลหญิง

 

โดยที่หลังจากนี้อาจจะมีข่าวดีสำหรับชาวกีฬาออกมาอีก

 

เพราะในวงการกีฬายอมรับกันว่าการถ่ายทอดสดกีฬาได้เปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคที่ 3 แล้ว

 

และนั่นคือยุคสมัยของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Netflix 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X