ไม่แปลกเลยที่ ลิโอเนล เมสซี จะกลายเป็นจุดสนใจของเกมการแข่งขันในเกมที่ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ก็นี่คือนักฟุตบอลผู้ได้รับการยกย่องจากใครต่อใครว่าคือ ‘หนึ่งไม่มีสอง’ บนโลกใบนี้ ที่แม้แต่ คริสเตียโน โรนัลโด คู่ปรับตลอดกาลที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะในระดับส่วนตัว ระดับสโมสร และประสบความสำเร็จมากกว่าในระดับทีมชาติ ก็ยังไม่สามารถทำให้ใครยกย่องเขาในความรู้สึกเดียวกับเมสซีได้
ในบางครั้งชัยชนะของเมสซีก็คือชัยชนะของโลกฟุตบอล และในบางครั้งความพ่ายแพ้ของเขาก็คือหายนะของโลกฟุตบอลเช่นเดียวกัน
การชนะไนจีเรีย 2-1 และได้ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ของเมสซีและอาร์เจนตินาจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ถึงจะไม่ใช่ทุกคนที่รัก แต่อย่างน้อยก็มีคนจำนวนมากอยากเห็นเมสซีได้ในสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต และยังไม่เคยได้สัมผัสมันอย่างโทรฟีฟุตบอลโลก
The Quest for Glory ของเมสซีในฟุตบอลโลกครั้งจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเป็นพิเศษ
ความพ่ายแพ้แบบหมดรูปที่ไม่ต่างอะไรจากการโดน ‘ฆาตกรรม’ กลางสนามโดยโครเอเชียในเกมนัดที่ 2 ทำให้ฟุตบอลโลกนั้นหม่นหมองลงไปพอสมควร เพราะ ณ เข็มนาฬิกานั้นเราต่างเชื่อกันสนิทใจว่า บางทีคงไม่มีโอกาสสำหรับนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (คนหนึ่ง) ของยุคที่จะได้เป็นแชมป์โลก และได้ถูกยกย่องให้เทียบเท่ากับ เปเลและมาราโดนา
เพียงแต่หนึ่งวันให้หลัง ฟุตบอลโลกก็กลับมาอยู่ในโทนเดิมอีกครั้ง เมื่อไนจีเรียทำให้หลายคนประหลาดใจด้วยการเอาชนะไอซ์แลนด์ได้สำเร็จ เปิดประตูโอกาสในการเข้ารอบต่อไปเอาไว้กว้าง และอยู่ในระยะห่างที่เมสซีกับอาร์เจนตินาจะเอื้อมมือถึง
แต่ Albiceleste นั้นเต็มไปด้วยปัญหา สารพันเรื่องที่ถูกผูกเป็นปมที่รัดแน่นซ้อนทับและยากจะแกะออก ในเมื่ออาร์เจนตินานั้นแย่ไปเสียทุกอย่าง ตั้งแต่ขุมกำลัง เหล่าสตาร์ดัง คนที่ขาดไม่ได้ที่จะต้องรับผลของการตัดสินใจที่ผิดพลาดคือ ฮอร์เก ซามเปาลี เทรนเนอร์ของทีม
แม้กระทั่งเมสซีเองก็ดูเหมือนจะไม่อยู่ในสภาพจิตใจที่พร้อมจะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยทีมเหมือนที่เขาเคยทำตลอดมา ราวกับว่าเขาเบื่อและสิ้นหวังกับอาร์เจนตินาแล้ว
แล้วจะให้เริ่มที่ตรงไหนก่อน?
ซามเปาลีคือเรื่องแรกที่เหมือนจะถูกจัดการ โดยเกิดกระแสข่าวการ ‘รัฐประหาร’ ภายในทีม มีการอ้างของสื่อที่มีแหล่งข่าววงในจำนวนมากที่รายงานว่า ปัญหาแรกที่เหล่าขุนพลอาร์เจนตินาต้องการจัดการคือการกีดกันโค้ชผู้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการทำทีมออกไปจากทีมก่อน
ตามรายงานข่าวบอกว่า ถ้าไปได้เลยก็ดี แต่ถ้ายังไปไม่ได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้นสหพันธ์ฟุตบอลอาร์เจนตินาอาจต้องจ่ายค่าเสียหายมากมายมหาศาลถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ซามเปาลีจะนั่งอยู่ข้างสนามก็ได้ แต่ต้องไม่ยุ่งกับการจัดทีมอีก พวกนักเตะจะเป็นคนจัดการเอง
แต่เรื่องนี้ก็มีการออกมาปฏิเสธจากหลายฝ่ายว่าไม่เป็นความจริง
เพียงแต่สิ่งที่เราได้เห็นในเกมคือ อาร์เจนตินาที่กลับมาเล่นในระบบกองหลัง 4 คนอีกครั้ง และมีการสลับผู้เล่นถึง 5 ตำแหน่งเพื่อเอาชนะไนจีเรียให้ได้
นักเตะทุกคนในสนามต่างก็พยายามเล่นอย่างเต็มที่ โดยสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุดคือการที่ทุกคนนั้นไม่ได้เล่นเพื่อลิโอเนล เมสซี แต่ทุกคนทำเพื่อทีม ทำเพื่ออาร์เจนตินา
สิ่งที่ได้เห็นจากนักเตะฟ้าขาวที่งัดลูกห้าวออกมาไล่บดไนจีเรียกันสะใจแฟนๆ ยิ่งทำให้ผมคิดถึงถ้อยคำของ ฮอร์เก วัลดาโน อดีตขุนพลคนสนิทของ ดิเอโก มาราโดนา และเป็นผู้ทำประตูชัยให้อาร์เจนตินาล้มเยอรมนีตะวันตก คว้าแชมป์โลกในปี 1986 ที่บันทึกมุมมองไว้ในงานชิ้นหนึ่งที่ The Guardian
วัลดาโนก็ไม่ต่างจากทุกคนครับ เขาเองก็มองว่าอะไรมันก็ผิดไปหมดสำหรับอาร์เจนตินา โดยที่เราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้
แต่สิ่งที่วัลดาโนไม่ได้กล่าวถึงคือ คำว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้คือเรื่องของลิโอเนล เมสซี
ในทางตรงกันข้าม ตำนานรุ่นก่อนมองว่าหายนะที่เกิดขึ้นกับทีมชาติอาร์เจนตินานั้นคือหายนะสำหรับชาวอาร์เจนตินา ชนชาติที่ต้องเจ็บปวดกับพิษการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน และแน่นอนว่าเศรษฐกิจที่ตกต่ำดำลงไปในความมืดมนอนธการ
ทีมชาติอาร์เจนตินาจะปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงแบบนี้ไม่ได้ นี่คือฟุตบอลโลก นี่คือชีวิต ความหวัง และความสุขของพวกเขา
สำหรับชาวอาร์เจนไตน์ ฟุตบอลมีความหมายต่อพวกเขาอย่างไม่สามารถประเมินค่าได้ เพราะฟุตบอลคือสิ่งเดียวที่ทำให้ชาวอาร์เจนตินารู้สึกว่าพวกเขานั้นเป็นหนึ่งในชาติที่ดีที่สุดในโลก ฟุตบอลคือยาวิเศษที่ช่วยเยียวยาหัวใจที่รวดร้าวของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
เมื่อครั้งต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการแพ้สงครามฟอล์กแลนด์เมื่อปี 1986 ชาวอาร์เจนไตน์ก็ได้แชมป์ฟุตบอลโลกมาเป็นรางวัลปลอบใจ และเพราะเหตุนี้ทำให้ ดิเอโก มาราโดนา จึงกลายเป็นวีรบุรุษตลอดกาลในดวงใจของชาวอาร์เจนตินา
เพราะเขาคือฮีโร่ผู้กู้หัวใจที่อับปางของคนทั้งชาติเอาไว้ได้
เพียงแต่เมื่อสิ้นยุคของ ‘เอล ดิเอโก’ อาร์เจนตินาก็ไม่เคยกลับไปยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้อีก ดีที่สุดที่ทำได้คือการที่เมสซีและขุนพลเอก อังเคล ดิ มาเรีย นำอาร์เจนตินาเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเมื่อ 4 ปีที่แล้วได้ เพียงแต่พวกเขาก็ทำภารกิจไม่สำเร็จ
มันกลายเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและอันตรายไปพร้อมกัน เพราะมันทำให้อาร์เจนตินา ไม่ได้กลับมาสนใจตัวเองมากนัก พวกเขาหลงลืมไปว่าในช่วงหลายปีหลัง อาร์เจนตินาแทบไม่สามารถผลิตนักเตะระดับท็อปขึ้นมาประดับวงการได้เป็นล่ำเป็นสันเหมือนในอดีต
เรื่องนี้เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างของระบบฟุตบอลภายในประเทศที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่พวกเขายังมองหายอดนักเตะพรสวรรค์จากข้างถนนในยุโรป ที่เยอรมนี สเปน หรือแม้แต่ไอซ์แลนด์ มีเด็กเดินเข้าศูนย์ฝึกนักฟุตบอลเยาวชนที่แข็งแกร่งทุกวัน
“อาร์เจนตินาล้มเหลวเพราะไม่มีทุน ไม่มีทักษะในการบริหารจัดการ และไม่มีวิสัยทัศน์ รวมถึงยังเย่อหยิ่ง และมั่นใจในสถานะของตัวเองมากจนเกินไป” วัลดาโนพยายามวิเคราะห์ความล้มเหลวของอาร์เจนตินา
สิ่งที่เขาพูดมันสะท้อนออกมาด้วยขุมกำลังที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า อาร์เจนตินาวันนี้ถ้าไม่มีเมสซีสักคนก็จะกลายเป็นแค่ทีมดาดๆ ทีมหนึ่ง
อย่างไรก็ดี วัลดาโนพูดถูกอีกอย่างหนึ่งคือ ความจริงแล้วชาวอาร์เจนตินานั้นไม่ได้ถึงกับให้ค่าความนิยมกับ ‘พรสวรรค์’ ของผู้เล่นหรอก สิ่งที่จะชนะใจพวกเขาได้คือ Huevos หรือ Balls
Huevos ในความหมายประสาลูกหนังหมายถึง การที่ทุกคนพยายามเล่นให้เต็มที่ เล่นให้สุดความสามารถ เข้าบอลให้ได้ทุกจังหวะ กระชากบอลด้วยความเร็วสูงสุด ไปจนถึงการเข้าเสียบสกัดก็ต้องเสียบให้สุดอย่าไปกั๊ก ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราได้เห็นในการพบกันของอาร์เจนตินาและไนจีเรีย
เราได้เห็น อังเคล ดิ มาเรีย วิ่งไล่บอล เสียบสกัด ไปจนถึงการกระโดดบล็อกแบบรัวๆ เช่นกันกับ ฮาเวียร์ มาสเคราโน ที่พร้อมเทกตัวขึ้นโหม่ง เบียด ชน ปะทะ กระแทก แหย่ขา และยืนหยัดสู้ต่อในสนามทั้งที่มีแผลแตกและเสียเลือดจำนวนมาก
เมสซีเองก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน นอกจากการทำประตูแรกด้วยฝีเท้าระดับเวิลด์คลาส เมสซียังทุ่มเทกับการเล่นแทบทุกจังหวะ อาจจะมีพลาดบ้าง ผิดบ้าง แต่ในภาพรวมแล้วนี่เป็นเกมที่เขาทุ่มเทมากที่สุดในฟุตบอลโลกหนนี้ หลังจากที่อยู่ในอารมณ์กระอักกระอ่วนใจมาใน 2 เกมแรก
สิ่งเหล่านี้เองครับที่ทำให้ชัยชนะของอาร์เจนตินาเหนือไนจีเรีย เกมนี้ล้ำค่า เพราะมันไม่ใช่ชัยชนะของเมสซี (จริงอยู่ที่ทุกคนเองก็อยากจะส่งเมสซีให้ถึงแชมป์) หากแต่มันเป็นชัยชนะของทีมชาติอาร์เจนตินาที่ต่อสู้กันได้อย่างน่าภาคภูมิใจตลอดทั้งเกมที่แสนกดดัน และไม่ได้โยนภาระทุกอย่างเอาไว้บนสองบ่าของเมสซี
และบางทีเราน่าจะต้องบอกว่ามันยิ่งใหญ่กว่านั้นด้วยซ้ำไป เพราะมันถือได้เป็นชัยชนะของคนทั้งประเทศ ซึ่งในช่วงก่อนเกมหลายคนน่าจะได้เห็นภาพแฟนบอลที่มารวมตัวกันให้กำลังใจนักเตะในทีมกันที่หน้าโรงแรมโดยไม่ได้มีใครคิดจะมาตำหนิหรือด่าทอ
มันเป็นภาพที่งดงามโดยไม่ต้องหาคำบรรยาย
ถึงแม้ว่าเส้นทางต่อไปของพวกเขาจะจบลงตรงไหนไม่มีใครรู้ แต่อย่างน้อยที่สุด 90 นาทีแห่งความพยายามที่ผ่านพ้นไปได้มอบความสุขและความหวังให้แก่ชาวอาร์เจนไตน์ชนิดที่ไม่ว่าจะจบเส้นทางที่ตรงไหน ก็ไม่มีรอยด่างพร้อยอะไรให้เจ็บปวดเหมือนที่กลัวกันก่อนนี้แล้ว อย่างน้อยความรู้สึกของพวกเขาก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
ส่วนพวกเขาจะไปได้ไกลถึงไหนกัน เมสซีจะมีวาสนาถึงแชมป์หรือเปล่า
ณ เข็มนาฬิกาเดินไป คงต้องให้โชคชะตานำพา อะไรก็เกิดขึ้นได้ และเราก็เพิ่งเห็นกันกับตาใช่ไหมครับ
Photo: Reuters
อ้างอิง: