ภาพการหยุดยืนเพื่อให้สัมภาษณ์กับสื่อของ โม ซาลาห์ ที่บริเวณ Mixed Zone พร้อมตอบคำถามเรื่องเกี่ยวกับอนาคตและสัญญาการเล่นของตัวเองที่ไร้ความคืบหน้าใดๆ ไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ
แต่เป็นความจงใจของซูเปอร์สตาร์ชาวอียิปต์ที่ต้องการเล่นเกมกับสโมสรโดยอาศัยความรู้สึกของแฟนฟุตบอลลิเวอร์พูลเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างแรงกดดันให้เกิดขึ้นกับฝ่ายบริหารของสโมสร ที่อีกด้านหนึ่งก็มีการยืนยันจากแหล่งข่าวว่ากำลังเปิดฉากเจรจากับ รามี อับบาส อยู่
และที่สำคัญการเจรจาที่ผ่านมาดำเนินไปด้วยดี
คำถามคือซาลาห์เลือกจะทำแบบนี้ทำไม?
ปกติแล้วซาลาห์เป็นผู้เล่นที่เก็บตัว น้อยครั้งมากและยากยิ่งที่จะยอมเปิดใจให้สัมภาษณ์กับสื่อ
แต่นับตั้งแต่เปิดฤดูกาล 2024/25 เป็นต้นมา ซูเปอร์สตาร์ของทีมลิเวอร์พูลในวัย 32 ปี ออกมาส่งสัญญาณถึงเรื่องอนาคตในการเล่นของตัวเองอย่างน้อย 3 ครั้งแล้ว
ครั้งแรกหากยังจำกันได้เกิดขึ้นหลังเกม ‘แดงเดือด’ ที่ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาลได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 3-0 ซาลาห์ซึ่งเป็นผู้ทำประตูปิดท้ายในเกมนั้นและเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้งเกมทำให้ทุกคนตะลึงกับคำพูดของเขา
“นี่เป็นฤดูกาลสุดท้ายของผมที่ลิเวอร์พูล และผมอยากจะมีความสุขไปกับมัน”
ก่อนจะตัดพ้ออีกนิดเป็นการส่งท้ายว่า “ไม่มีใครที่สโมสรคุยกับผมเรื่องสัญญาใหม่เลย มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมแล้ว มันขึ้นอยู่กับสโมสร”
สารนี้สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วในเวลานั้นเพราะลิเวอร์พูลกำลังเปิดฉากฤดูกาลใหม่ได้อย่างสวยงาม ตัวของเขาเองก็อยู่ในฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม สภาพร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำนอกจากยากที่จะเอาลงแล้ว ความเร็วของเขายังคงจัดจ้านเหมือนเดิมหรืออาจจะดีกว่า 1-2 ฤดูกาลที่ผ่านมาด้วย ซึ่งเป็นผลตอบแทนของการดูแลสภาพร่างกายและจิตใจเป็นอย่างดี
ครั้งต่อมาเกิดขึ้นหลังเกมที่เหนื่อยยากของลิเวอร์พูลที่เฉือนเอาชนะไบรท์ตันแอนด์ โฮฟอัลเบียนได้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซาลาห์จู่ๆ ก็โพสต์ข้อความบอกเป็นนัย
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมจะไม่มีวันลืมความรู้สึกของการได้ทำประตูในแอนฟิลด์” ประหนึ่งเป็นข้อความบอกรักและบอกลาทุกคนในเกมสุดท้ายของฤดูกาล
ข้อความนี้ทำให้ในเกมถัดมาที่แอนฟิลด์เราเห็นป้ายผ้าขนาดใหญ่ที่ทำขึ้นเพื่อสนับสนุนนักเตะที่แฟนๆ บูชาว่าเป็น The Egyptian King เจ้าของเพลง Mo Salah Running down the Wing
ข้อความนั้นบอกว่า “He fires the bow – now give him his dough”
Bow ในที่นี้หมายถึงหนึ่งในท่าฉลองประตูของซาลาห์ในช่วงหลังที่เป็นทำเหมือนดึงลูกธนูจากด้านหลังก่อนจะง้างคันศรยิงไปสู่กองเชียร์ทุกคน ซึ่งที่มาที่ไปของท่านี้เป็นการเลียนแบบท่าฉลองชัยชนะของ อิสราเอล อเดซานยา นักสู้ UFC ที่เห็นท่านี้แล้วรู้สึกชอบ
ส่วน Dough นั้นมีความหมายถึง ‘เงิน’ นั่นเอง
ป้ายผ้าผืนนี้จึงเป็นการขอร้องวิงวอนแทนจากแฟนบอลว่าซาลาห์ยิงกระฉูดขนาดนี้ ให้ค่าตอบแทนที่เขาต้องการเถอะ
แต่ถึงกระนั้นเรื่องก็ยังไม่มีความคืบหน้า
นั่นทำให้เจ้าตัวออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังเกมที่ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะเซาแธมป์ตันได้อย่างสุดมันที่เซนต์แมรี ซึ่งเขาทำ 2 ประตูสำคัญช่วยให้ทีมพลิกสถานการณ์กลับมาคว้า 3 คะแนนเต็มได้
การสัมภาษณ์เกิดขึ้นที่บริเวณ Mixed Zone ซึ่งเป็นพื้นที่ที่นักข่าวจะมาดักรอให้สัมภาษณ์นักฟุตบอลที่ปกติแล้วไม่ใช่ทุกครั้งหรือทุกวันจะแวะมาพูดคุยด้วย ยกเว้นจะมีประเด็นหรือสิ่งที่อยากสื่อสารออกมา
โดยเฉพาะกับซาลาห์ที่แทบไม่เคยหยุดให้สัมภาษณ์เลย ตลอด 7 ปีครึ่งที่ผ่านมาเคยหยุดให้สัมภาษณ์แค่ 2 ครั้งเท่านั้น
แต่ครั้งนี้ซาลาห์หยุด! เพื่อพูดคุยกับ เจมส์ เพียร์ซ นักข่าวคนดังของ The Athletic ที่แฟนลิเวอร์พูลรู้จักกันเป็นอย่างดี (ซึ่งเพียร์ซบอกว่าเคยพยายามเรียกให้โมหยุดมาเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่นี่เป็นเพียงครั้งที่ 3 ที่หยุดคุยด้วย) และตอบคำถามแบบชัดเจนไม่มีอ้อมค้อมจนน่าตกใจ
“นี่ก็จะเข้าเดือนธันวาคมแล้ว ผมยังไม่ได้รับข้อเสนออะไรจากสโมสรเลย ดูแล้วผมน่าจะไปมากกว่าอยู่”
นอกจากนี้ยังตอบชัดถึงความรู้สึกตอนนี้ที่ยังไม่ได้รับข้อเสนอเลยว่า “ผมก็ผิดหวังแต่ต้องรอดูกัน”
คำถามว่าซาลาห์ทำแบบนี้ทำไม? ตอบได้ไม่ยากอยู่แล้ว
นี่คือ PR Battle เป็นการเดินเกมเพื่อกดดันสโมสรให้เร่งดำเนินการในการต่อสัญญา ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเลือกจะใช้วิธีแบบนี้ เพราะในช่วงของการเจรจาต่อสัญญาครั้งล่าสุดก็เคยออกมาสื่อสารในลักษณะแบบนี้เช่นเดียวกัน
ในด้านหนึ่งการออกมาพูดขนาดนี้ของซาลาห์ได้รับการขานรับจากแฟนเดอะค็อปทั่วโลกที่เร่งเร้าให้สโมสรรีบจัดการต่อสัญญากับซูเปอร์สตาร์หมายเลข 1 คนนี้ออกไปโดยเร็วที่สุด เพราะผลงานเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าซาลาห์ในวัย 32 ปี ยังเป็นผู้เล่นหมายเลข 1 ของสโมสรที่เป็นฮีโร่ของทีมเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ความสม่ำเสมอของมาตรฐานการเล่นในระดับสูงของเขาเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ไม่ใช่จะพบเจอได้ง่ายนัก
ถ้าไม่เก็บซาลาห์ไว้จะไปหาใครมาแทนที่? ถึงแม้ว่าแนวรุกคนอื่นของทีมตอนนี้จะดูดีไม่น้อย แต่เมื่อมองไปที่ หลุยส์ ดิอาซ, ดีโอโก โชตา, โคดี กักโป, ดาร์วิน นูนเญซ หรือ เฟเดริโก เคียซ่า ไม่มีใครที่เล่นได้สม่ำเสมอในระดับเดียวกับนักเตะหมายเลข 11
และคุณค่าของซาลาห์ไม่ได้มีแค่เรื่องของในสนาม
ความเป็นฮีโร่ เป็นนักเตะในระดับไอคอนของเขาเป็นต้นแบบที่ดีของทุกคน เป็นนักเตะที่ดาวรุ่งในสโมสรเฝ้ามองเป็นแบบอย่าง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะซื้อหาใครเข้ามาแล้วทดแทนกันได้
มันต้องเกิดจากการที่ต้องพิสูจน์ตัวเองจนเป็นที่ยอมรับ
สำหรับซาลาห์แล้วเขามาไกลกว่าการเป็น ‘นักเตะผู้มหัศจรรย์ฤดูกาลเดียว’ (One Season Wonder)
เพราะนี่คือ ‘นักเตะผู้มหัศจรรย์ทุกฤดูกาล’ (Every Season Wonder)
แรงกดดันตอนนี้จึงตกอยู่กับฝ่ายบริหารของสโมสร ซึ่งนำโดย ริชาร์ด ฮิวจ์ส ในฐานะผู้อำนวยการของลิเวอร์พูล และ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ซีอีโอฟุตบอลของกลุ่ม Fenway Sports Group เจ้าของสโมสร
ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม กฎข้อแรกสำหรับการบริหารกิจการใดๆ คือการห้ามนำความรู้สึกส่วนตัวเข้ามามีเหตุผลต่อการตัดสินใจ
โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อองค์กรอย่างเรื่องของการต่อสัญญากับซาลาห์
การต่อสัญญาของนักเตะในระดับนี้ปกติก็ไม่เคยเป็นเรื่องที่ง่ายอยู่แล้ว เพราะมันไม่ได้จบแค่เรื่องของตัวเลขค่าตอบแทนที่จะได้รับในแต่ละสัปดาห์ แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายที่สามารถเจรจากันได้ไม่รู้จบ เช่น เรื่องเงินโบนัสพิเศษที่คุยกันได้ตั้งแต่การลงสนามตัวจริง การลงสนามตัวสำรอง การลงสนามในรายการใหญ่ การทำประตู การทำแอสซิสต์ ไปจนถึงเป้าหมายจำนวนประตูที่ต้องการ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ (Image Rights) ที่เป็นเรื่องยากสำหรับการหาข้อตกลงที่ลงตัวระหว่างผู้เล่นระดับสตาร์กับสโมสรที่จะไม่จบง่ายๆ ด้วยการแบ่งกัน 50-50 เสมอไป
สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการเจรจา ที่ไม่สะดวกเหมือนตอนเล่นเกม Football Manager ที่แค่เลือกชอยส์คำตอบ เคาะตัวเลขที่ต้องการแน่
สิ่งที่ยากที่สุดคือลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่มีแนวทางการบริหารกิจการในแบบ ‘Moneyball’
การจะเซ็นสัญญากับผู้เล่นคนไหนจะต้องมีการนำสถิติตัวเลขและข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์ทั้งหมดเพื่อดูว่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่สำหรับสโมสร
จำนวนเกมที่ลงสนามในแต่ละฤดูกาล ผลงานที่ทำได้ จำนวนประตู/แอสซิสต์ ระยะทางในการวิ่ง อาการบาดเจ็บ ไปจนถึงเรื่องรายละเอียดยิบย่อยอย่างมวลร่างกาย และสิ่งที่ไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขได้อย่างปัญหาสุขภาพ สุขภาพจิต ความเข้ากันได้กับเพื่อน อิทธิพลที่มีต่อทีม ความสัมพันธ์กับโค้ช ความประพฤติ แนวโน้มในอนาคต
สำหรับซาลาห์มีการประเมินคร่าวๆ ว่าหากสโมสรต่อสัญญาให้ตามมูลค่าที่สะท้อนถึง ‘คุณค่า’ ที่ผู้เล่นต้องการ ซึ่งจะเป็นระดับสูงที่สุดของพรีเมียร์ลีกอย่างไม่ต้องสงสัยนั้น จะทำให้ลิเวอร์พูลต้องจ่ายให้กับซาลาห์ราวปีละ 20 ล้านปอนด์
ถ้าเป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ทีมอื่นการต่อสัญญากับนักฟุตบอลผู้ไม่อาจหาใครทดแทนได้แบบนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องคุยกันยาก
แต่สำหรับสโมสรอย่างลิเวอร์พูลที่บริหารการเงินแบบมีวินัยไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สินมหาศาลแบบใครเขา และไม่ต้องกู้ยืมเงินหรืออาศัยทุนจากเจ้าของเข้ามาโปะ การจะจ่ายเงินมากขนาดนี้ให้กับผู้เล่นในวัย 32 ปีที่จะเป็นช่วงขาลงของชีวิตเป็นเรื่องที่ขัดต่อความเชื่อและแนวทางของสโมสรเป็นอย่างยิ่ง
นั่นจึงทำให้การเจรจายักแย่ยักยัน ไม่มีบทสรุปที่สวยงามจนถึงตอนนี้
และทุกอย่างมันยิ่งยากขึ้นไปอีกเพราะไม่ใช่แค่ซาลาห์คนเดียว แต่ลิเวอร์พูลยังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กัปตันทีมที่เป็นเสาหลักของแนวรับ และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ Local Lad ที่เป็นฮีโร่ของชาวเมืองที่ทุกคนคาดหวังว่าจะอยู่ในแอนฟิลด์ไปตลอดชีวิตการเล่น
หากมองตามพื้นฐานของ Moneyball แล้ว คนเดียวที่ลิเวอร์พูลควรจะต่อสัญญาก่อนแบบไม่คิดคือ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่อายุแค่ 26 ปี การต่อสัญญายาว 4-5 ปีเป็นเรื่องที่สามารถทำได้
ขณะที่ซาลาห์ (32) และฟาน ไดจ์ค (33) ไม่มีใครตอบได้ว่าวันนี้เล่นดีอยู่ แต่วันข้างหน้าในอีก 1-2 ฤดูกาลจะเป็นอย่างไร?
อย่าลืมว่าลิเวอร์พูลเคยผิดและพลาดมาเหมือนกันในกรณีของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อดีตกัปตันทีมที่ เจอร์เกน คล็อปป์ อดีตผู้จัดการทีมแทรกแซงการทำงานของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ด้วยการขอให้ต่อสัญญาใหม่ออกไปเพราะคิดว่าผู้นำของทีมควรได้รับผลตอบแทนจากการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
การใช้ ‘ความรู้สึก’ นำเหตุผลครั้งนั้นจบลงที่เฮนเดอร์สัน ผลงานตกลงอย่างน่าใจหายในเวลาไม่นานและสุดท้ายต้องย้ายไปซาอุดีอาระเบีย ก่อนระเห็จมาอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
นี่คือสิ่งที่สโมสรต้องชั่งน้ำหนัก โดยที่ไม่อาจนำความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยได้
ดังนั้นไม่ว่าซาลาห์จะพยายามกดดันสโมสรด้วยการใช้แฟนฟุตบอลเป็นเครื่องมือ – ซึ่ง เจมี คาร์ราเกอร์ ตำนานของสโมสรออกมาโจมตีว่าเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวเกินไป เพราะทีมกำลังทำได้ดี การออกมาพูดแบบนี้จะสั่นคลอนเพื่อนก่อนเกมใหญ่กับเรอัล มาดริด และแมนฯ ซิตี้ได้
ลิเวอร์พูลจะตัดสินใจเรื่องสัญญาของเขาตามหลักเกณฑ์และแนวทาง Moneyball โดยไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดเหมือนกรณีของเฮนเดอร์สัน (หรือที่เคยเกิดกับสโมสรอื่น เช่น อาร์เซนอล กับกรณี เมซุต โอซิล และ ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง)
สิ่งที่จะทำให้ซาลาห์ได้รับในสิ่งที่เขาต้องการคือผลงานในสนาม และการพิสูจน์ของเขาเองว่าปัจจุบันนี้นักฟุตบอลสามารถยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น ‘Longevity’ ในเกมฟุตบอลเป็นไปได้หากนักเตะดูแลรักษาสภาพร่างกายได้เพียงพอ
ถ้าถามตามสิ่งที่เห็นแล้วซาลาห์ก็สมควรจะได้รับสัญญาฉบับใหม่ แล้วก็มีโอกาสที่เรื่องจะจบแบบ Happy Ending เหมือนครั้งก่อนที่อัดคลิปวิดีโอสั้นๆ ว่า ‘Mo Stay’
แต่ถ้าลิเวอร์พูลมองว่า ‘ไม่คุ้ม’ และมี ‘เป้าหมายใหม่’ ที่เป็นนักเตะที่หนุ่มกว่า สดกว่า มีอนาคตมากกว่าแล้ว ต่อให้แฟนบอลจะรักและเทิดทูนซาลาห์แค่ไหนก็ต้องทำใจและทำความเข้าใจที่ ‘Mo จะ Go’
เพราะไม่มีนักฟุตบอลคนใดอยู่ค้ำฟ้า
ทุกคนมาแล้วก็ไป