ตลาดเริ่มมีสัญญาณบวก! ‘ไทยยูเนี่ยน’ กางแผนยุทธศาสตร์เสริมแกร่งธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยงที่กำลังโตแรง พร้อมรอจังหวะหาน่านน้ำใหม่ ดันเป้ายอดขายปี 2030 ทะลุ 245,000 แสนล้านบาท กำไรพุ่ง 2 เท่า
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และมีความท้าทายด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเติบโตของ GDP ทั่วโลกชะลอตัว รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคลดลงและมีพฤติกรรมหันมาใช้จ่ายเพื่อสุขภาพตัวเองและสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- TU – พรีวิว 2Q67: คาดกำไรปกติเพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY
- ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กำไรปี 66 ทรุด 37% เหลือ 4,499 ล้านบาท
- ไทยยูเนี่ยนติดอันดับดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ 10 ปีต่อเนื่อง
ถึงกระนั้นสภาพตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณบวกจากอัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลง ที่ผ่านมาองค์กรเตรียมพร้อมมาแล้ว ซึ่งหากย้อนไปเมื่อหลายสิบปีก่อนไทยยูเนี่ยนเติบโตอย่างเร็ว เพราะเน้นต่อยอดจากสินค้าเดิมไปสู่สินค้าใหม่ รวมถึงเน้นบริหารต้นทุนต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่เมื่อบริบทเปลี่ยนบริษัทจึงต้องเปลี่ยนแปลงในเชิงลึกมากขึ้น และพยายามหาโอกาสสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจหลักควบคู่ไปกับมองหาการควบรวมกิจการเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่
สำหรับทิศทางการดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทวางกลยุทธ์ปี 2030 มุ่งให้ความสำคัญกับการเสริมแกร่งธุรกิจหลัก ได้แก่ อาหารทะเลแปรรูป อาหารแช่เย็น และอาหารสัตว์เลี้ยง เพื่อสร้างกระแสเงินสดในการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตใหม่ๆ
ตามด้วยการสร้างคลื่นลูกใหม่ให้กับกลุ่มธุรกิจที่เติบโตเร็ว โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยง โดยต้องการสร้างเทรนด์ใหม่ๆ และจะเน้นขยายสินค้าพรีเมียม พร้อมขยายไปยังตลาดอินโดนีเซีย
ส่วนธุรกิจอาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมรับประทาน และวัตถุดิบ ก็จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาเติมตลาดต่อเนื่อง ซึ่งไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าทุกธุรกิจจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของผลกำไรได้เป็นอย่างดี
พร้อมกันนี้ยังมองหาน่านน้ำธุรกิจใหม่ ซึ่งจะต้องเป็นธุรกิจที่มีภาพลักษณ์ที่ดีและมีผลประกอบการเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโปรตีนทางเลือก โดยภาพรวมการลงทุนทั้งหมดบริษัทได้วางงบประมาณไว้ที่ 5,000 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังปรับโครงสร้างองค์กรและการพัฒนาบุคลากร มุ่งเน้นลดต้นทุนด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนการยกระดับความสามารถทางดิจิทัล การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการทำงาน
นอกจากนี้ ภายใต้กลยุทธ์ปี 2030 บริษัทมีโปรเจกต์ทรานส์ฟอร์เมชัน ประกอบไปด้วย
- โปรเจกต์โซนาร์ บริษัทตั้งเป้าที่จะลดต้นทุนเฉลี่ยต่อปีได้ 2,625 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป โดยประมาณ 40% ของเงินส่วนนี้จะนำกลับมาลงทุน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจต่อไป
- โปรเจกต์เทลวินด์ เป็นแผนการทรานส์ฟอร์เมชันของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยจะเร่งเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจภายใต้บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผ่านการสร้างการเติบโตจากการควบรวมกิจการ พร้อมทำการตลาดให้เข้าใจความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ได้ลึกที่สุด โดยตั้งเป้าหมายทำรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า หรือประมาณ 52,500 ล้านบาทภายในปี 2030
ทั้งนี้ กลยุทธ์ที่วางไว้จะช่วยให้บริษัทสร้างยอดขายได้ 245,000 ล้านบาท และเพิ่มกำไรเป็น 2 เท่า หรือ 24,500-28,000 ล้านบาทภายในปี 2030 ส่วนไตรมาส 3 มีอัตรากำไรสุทธิที่ 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% ส่วนใหญ่มาจากความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง และประเมินว่าไตรมาส 4 จะรักษาระดับการเติบโตให้ได้ที่ 3-4%