เกิดอะไรขึ้น:
ในเดือนตุลาคม InnovestX Research เชื่อว่ายอดขายสาขา (SSS) ของ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 3Q67 โดย SSS ที่ร้านโฮมโปร (80% ของยอดขาย) หดตัวน้อยลงที่ 2-3%YoY (เทียบกับลดลง 6%YoY ใน 3Q67) และ SSS ที่ร้านเมกาโฮม (18% ของยอดขาย) กลับมาเติบโตได้ที่ 4-5%YoY (เทียบกับลดลง 4% YoY ใน 3Q67)
โดยการเติบโต YoY ของตัวเลข SSS รายสัปดาห์ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับตัวเลขรายเดือน สะท้อนการไม่ได้มีปัจจัยพิเศษสนับสนุนการเติบโตแบบผิดปกติในช่วงใดช่วงหนึ่ง ทั้งนี้ SSS ที่ปรับตัวดีขึ้นหลักๆ ได้แรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในต่างจังหวัด (51% ของยอดขาย) ท่ามกลางยอดขายที่อ่อนแอต่อเนื่องในกรุงเทพฯ
เมื่อจำแนกตามภูมิภาค SSS ที่เพิ่มขึ้นนำโดยภาคเหนือ (คิดเป็น 15% ของยอดขายสำหรับร้านโฮมโปร และมากกว่า 20% ของยอดขายสำหรับร้านเมกาโฮม) โดย SSS เพิ่มขึ้น 2%YoY ในร้านทั้งสองรูปแบบในเดือนตุลาคม จากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายในเชียงใหม่และเชียงราย (มีสาขาบริษัทตั้งอยู่ 4 สาขา คิดเป็น 3% ของจำนวนสาขาทั้งหมด)
และบางส่วนฟื้นตัวจากภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ จากกำลังซื้อที่ดีขึ้นหลังจากรัฐบาลแจกเงิน 10,000 บาทให้แก่กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนในช่วงปลายเดือนกันยายน การเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นจากฐานต่ำของปีก่อน (เพิ่มขึ้น 164%YoY ในเดือนตุลาคม) และนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เมื่อมองต่อไปข้างหน้า HMPRO คาดว่า SSS ในต่างจังหวัดจะแข็งแกร่งต่อเนื่อง
โดยได้แรงหนุนจากความต้องการซ่อมแซมและฟื้นฟูหลังน้ำลด นำโดยความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใน 1 เดือนแรก และการซ่อมแซมและปรับปรุงภายใน 3-6 เดือน ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงที่เกิดขึ้นในปี 2554 ในขณะเดียวกัน SSS ในกรุงเทพฯ ก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงปลายปี 2567 จากฐานที่เป็นปกติจากการก่อสร้างถนนหน้าสาขาโฮมโปร ราชพฤกษ์ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปลายปี 2566 (ทำให้ SSS YTD ลดลง 1%YoY) และในช่วงกลางปี 2568 เมื่อการก่อสร้างถนนเสร็จสิ้น
ด้วย SSS ที่ดีขึ้น การวางแผนเปิดสาขาใหม่ 4 สาขา (ร้านโฮมโปร 3 สาขา ในแม่สอด, เชียงใหม่ และภูเก็ต รวมถึงร้านเมกาโฮม 1 สาขา ในศรีราชา) และมาร์จิ้นที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการมีสัดส่วนยอดขายสินค้า Private Brand ที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้นทั้งจากร้านเมกาโฮมและร้านโฮมโปร และการควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายจากการขยายสาขารูปแบบไฮบริดมากขึ้น (เปิดโฮมโปรติดกับเมกาโฮม ทำให้สามารถแชร์ค่าใช้จ่ายได้) ดังนั้นจึงคาดว่ากำไร 4Q67 จะเติบโต YoY และ QoQ
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 สัปดาห์ผ่านมา ราคาหุ้น HMPRO ปรับขึ้น 1.55% สู่ 9.80 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 2.10% สู่ 1,481.67 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
InnovestX Research ยังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ HMPRO โดยให้ราคาเป้าหมายกลางปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF (WACC ที่ 7.0% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ที่ 13 บาทต่อหุ้น และมองว่าหุ้น HMPRO ซื้อขายในระดับที่ไม่สมเหตุสมผลที่ PE ปี 2567 ระดับ 20 เท่า (ต่ำกว่า -2 S.D. จาก PE เฉลี่ย 10 ปีที่ 22 เท่า) และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 3.9% ในขณะที่กำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ HMPRO ยังเป็น Proxy ของกลุ่มค้าปลีกที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังจะออกมาด้วย เช่น การนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการมาลดหย่อนภาษี (ถ้ามี) โดยที่ผ่านมามีมาตรการลดหย่อนภาษีช้อปปิ้งที่ได้รับอนุมัติ 8 ครั้งในปี 2558-2566 มาตรการล่าสุดที่สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567) ช่วยหนุนให้ SSS ของ HMPRO ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1-2%YoY
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือการเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและนโยบายรัฐบาลใหม่ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญคือการบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และการบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน และความปลอดภัยของข้อมูล (S)
บทความที่เกี่ยวข้อง:
HMPRO – Risk/Reward น่าสนใจมากขึ้น: https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/research/company-analysis/high-conviction/highconviction-hmpro-20241106