×

8 ไฮไลต์ถือศีลกินผักภูเก็ต เมืองเทศกาลระดับโลก

โดย THE STANDARD TEAM
21.10.2024
  • LOADING...

ความหลากหลายทางวัฒนธรรมถือว่าเป็นหนึ่งในมนตร์เสน่ห์แห่งภูเก็ต ซึ่งผสานความแตกต่างเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว และหากกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว เมืองภูเก็ตแห่งนี้ก็สะท้อนแก่นแท้ความเป็นไทยในภาพรวมได้อย่างลุ่มลึก เพราะคอนเซปต์ของความเป็นไทยคงมิใช่อะไรอื่น นอกเสียจากการหลอมรวมความแตกต่างหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน และเมืองภูเก็ตเองก็ผนวกความเป็นพหุวัฒนธรรมในพื้นถิ่นและนำเสนอออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมไทยแบบศาสนาพุทธหรือชาวมลายูแบบมุสลิม ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีบทบาทสำคัญในสังคม ทั้งวัฒนธรรม อาหาร วิถีชีวิตประจำวัน

 

 

เมืองภูเก็ตยังมีสถาปัตยกรรมแบบชิโน-ยูโรเปียน ซึ่งเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของภูเก็ตที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมจีน มาเลเซีย และอิทธิพลทางยุโรปจากโปรตุเกส ดัตช์ และอังกฤษ ที่สามารถพบเห็นได้ตามย่านเมืองเก่า โดยเฉพาะวัฒนธรรมของชาวจีนฮกเกี้ยนซึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในภูเก็ตมากขึ้น ณ ช่วงที่ทางการส่งเสริมให้ทำเหมืองแร่ดีบุก ชาวจีนฮกเกี้ยนจึงถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ส่งผลให้สถานะทางเศรษฐกิจของเมืองภูเก็ตรุ่งเรืองขึ้นจนเป็นหัวเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในภูมิภาค และอิทธิพลดังกล่าวยังส่งผลต่อศิลปวัฒนธรรมเมืองภูเก็ตในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร สถาปัตยกรรม ความเชื่อ รวมถึงวัตรปฏิบัติต่างๆ

 

ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ เมืองภูเก็ตจึงกลายเป็นเมืองเทศกาลระดับโลก ซึ่งโอบรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมผ่านการจัดงานประเพณีต่างๆ ตลอดทั้งปี เช่น ประเพณีลอยเรือ งานแข่งขันเรือใบ เทศกาลอาหารทะเล ลอยกระทง เทศกาลพ้อต่อ และไฮไลต์สำคัญของทุกปีที่หลายคนรอคอยนั่นก็คือ ‘ประเพณีถือศีลกินผัก’

 

ช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB ได้นำสื่อมวลชนร่วมสัมผัสบรรยากาศประเพณีถือศีลกินผัก ณ จังหวัดภูเก็ต ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3-11 ตุลาคมที่ผ่านมา และยังเป็นเมืองที่เพิ่งได้รับการประกาศโดย International Festivals & Events Association (IFEA) ให้เป็น ‘เมืองเทศกาลโลก’ ประจำปี 2024 ร่วมรักษากายใจให้บริสุทธิ์ผ่านพิธีกรรมและความศรัทธา พร้อมตื่นตากับประเพณีสุดยิ่งใหญ่ที่เชื่อมโยงวัฒนธรรม ความเชื่อ พิธีกรรม และวิถีชีวิตอันมีเอกลักษณ์ ที่คนทั้งเมืองภูเก็ตมีส่วนร่วม

 

ปี 2024 จึงนับได้ว่าเป็นปีทองของ ‘ภูเก็ต’ ที่ต้องจารึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์ไทย เพราะในปีนี้ภูเก็ตคว้า 2 รางวัลใหญ่ นอกจากรางวัลเมืองเทศกาลโลกแล้ว ‘ประเพณีถือศีลกินผัก’ ยังสามารถคว้ารางวัล ‘Grand Pinnacle’ ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดจากงานนี้ที่มอบให้โดย IFEA ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดงานอีเวนต์ทุกประเภททั่วโลก โดยรางวัลนี้เปรียบเสมือนออสการ์ของวงการอีเวนต์

 

 

ภูเก็ต เมืองเทศกาลโลก 2024

 

การได้รับรางวัล ‘เมืองเทศกาลโลก (World Festival & Event City)’ นั้นไม่ได้หมายความว่าเมืองนั้นจะต้องเป็นเมืองที่มีจำนวนเทศกาลมากที่สุด หรือเป็นเมืองที่จัดเทศกาลสนุกสนานที่สุด แต่ต้องมองลึกลงไปถึงการหยิบยกเรื่องราว ประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่น อันเป็นอัตลักษณ์ของเมืองนั้นที่สะท้อนให้เห็นผ่านงานเทศกาลได้อย่างดีเยี่ยม

 

ย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ในตอนนั้นภูเก็ตกำลังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องเหมืองแร่ดีบุก ทำให้มีผู้คนมากหน้าหลายตาต่างอพยพเข้ามาทำงาน ค้าขายและตั้งถิ่นฐานในภูเก็ตจำนวนมาก ทำให้ภูเก็ตกลายเป็นเมืองท่าทางการค้าที่สำคัญในแหลมมลายู ก่อให้เกิดการหลอมรวมทางวัฒนธรรมที่หลากหลายอย่างลงตัว สะท้อนให้เห็นผ่านสถาปัตยกรรมชิโน-ยูโรเปียน อาหาร วิถีชีวิต ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมของชาวจีนฮกเกี้ยน ชาวไทยพุทธ และชาวมลายู ในเวลาต่อมา

 

แต่การจะเป็นเมืองเทศกาลได้นั้นจะขาดพระเอกหลักอย่างงานเทศกาลไปไม่ได้ โดยงานที่สะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ความเป็นภูเก็ตได้ดีที่สุดคือ ‘ประเพณีถือศีลกินผัก’ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งผสมผสานองค์ประกอบต่างๆ ที่แตกต่างหลากหลายของประเพณี พิธีกรรม อาหาร และความร่วมแรงร่วมใจกันของชาวภูเก็ตตลอด 9 วันไว้เป็นหนึ่งเดียว

 

8 ไฮไลต์ที่ส่งให้ประเพณีถือศีลกินผักภูเก็ตคว้ารางวัลระดับโลก

 

ในช่วงวันขึ้น 1-9 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี จะเป็นช่วงเวลาของเทศกาลกินเจที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ แต่ก็มี 8 ไฮไลต์หลักที่ทำให้ ‘ประเพณีถือศีลกินผัก’ กลายเป็นเทศกาลที่หาที่ไหนไม่ได้บนโลกนี้

 

 

1. ประเพณีที่มีประวัติยาวนาน และสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นกันมาเกือบ 200 ปี

 

จุดเริ่มต้นของเทศกาลถือศีลกินผักเกิดขึ้นเมื่อในวันหนึ่งมีคณะงิ้วรับจ้างจากโพ้นทะเลเดินทางมาแสดงงิ้วให้แรงงานชาวจีนฮกเกี้ยนเหมืองแร่ดีบุกในเมืองกะทู้ จังหวัดภูเก็ต ได้รับชม แต่หลังจากปักหลักแสดงงิ้วที่นี่ได้ไม่นาน กลับมีชาวคณะงิ้วล้มป่วยลง ซึ่งสันนิษฐานกันว่าเป็นเพราะคณะงิ้วของตนไม่ได้ประกอบ ‘พิธีเจี๊ยะฉ่าย’ หรือ ‘พิธีถือศีลกินผัก’ ต่อมาคณะงิ้วตัดสินใจทำพิธีถือศีลกินผักอย่างเรียบง่ายเพื่อขอขมาและบูชาเง็กเซียนฮ่องเต้ ราชาธิราชแห่งดวงดาวต่างๆ ทั้ง 9 องค์ พร้อมกับงดเว้นการกินเนื้อสัตว์และสุรา เพื่อชำระล้างร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ ตั้งแต่ 1-9 ค่ำ เดือน 10 เป็นเวลา 9 วัน ผลปรากฏว่าหลังทำพิธีเสร็จสิ้น ชาวคณะงิ้วหายป่วยเป็นปลิดทิ้ง ทำให้พิธีนี้แพร่หลายไปทั่วเมืองและปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา กลายเป็นประเพณีถือศีลกินผักในปัจจุบัน

 

 

2. ศูนย์รวมแห่งพิธีกรรมและประเพณี

 

ระหว่างประเพณีถือศีลกินผักเป็นช่วงเวลาแห่งการรักษากายใจให้บริสุทธิ์ ผ่านพิธีกรรมและความศรัทธา ทำให้ตลอดทั้งเทศกาลจะเต็มไปด้วยประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ มากมาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเชื่อและความศรัทธาของชาวภูเก็ตที่สืบทอดกันมายาวนาน ตั้งแต่ในเย็นวันก่อนเริ่มเทศกาลจะมีพิธียกเสาโกเต้ง หรือพิธียกเสาเทวดา จุดตะเกียงไฟบนยอดเสา 9 ดวงตลอดทั้ง 9 วัน

 

ตามมาด้วยพิธีอิ้วเก้ง หรือพิธีแห่พระรอบเมือง โดยแต่ละศาลเจ้าหรือแต่ละอ๊ามกว่า 40 แห่ง จะต้องแห่องค์เทพบนเกี้ยวที่ประดับประดาอย่างยิ่งใหญ่ตระการตาไปรอบเมือง เพื่อเยี่ยมเยียนผู้ถือศีลกินผัก ทำให้สองข้างทางระหว่างเส้นทางแห่พระเต็มไปด้วย ‘ตั๋ว’ หรือโต๊ะรับพระที่กำลังรอรับพรจากเทพเจ้า โดยในปีที่แล้วนั้นมีผู้เข้าร่วมขบวนแห่กว่า 37,000 คน และมีชาวบ้านมารอรับพระเต็มตลอดทุกเส้นทาง

 

ในขบวนแห่พระนี้จะมีม้าทรงทำหน้าที่เป็นร่างรับใช้ขององค์เทพ คอยทิ่มแทงอาวุธ มีด ดาบ หรือเข็ม ลงบนร่างกาย เพื่อรับเคราะห์แทนผู้ถือศีลกินผัก และจะเป็นตัวแทนให้พรแก่ผู้ถือศีลกินผักที่กำลังรอรับพร

 

ความยิ่งใหญ่ของพิธีแห่พระจากอ๊ามกว่า 40 แห่งที่ตกแต่งเกี้ยวอย่างอลังการ พร้อมกับการทำพิธีศักดิ์สิทธิ์จากม้าทรง จนมีจำนวนประชากรชาวภูเก็ตที่รอรับ-ส่งพระและเข้าร่วมขบวนแห่เกือบ 40,000 คน ทำให้ขบวนแห่พระถ่ายทอดความเป็นภูเก็ตออกมา

 

ก่อนจะเข้าสู่โค้งสุดท้ายของเทศกาลด้วยพิธีโก้ยโห้ย หรือพิธีลุยไฟ เพื่อชำระล้างพลังลบออกจากร่างกาย ด้วยการเดินข้ามสะพานไปให้ม้าทรงปัดเป่าสิ่งไม่ดีและลงตราประทับยันต์บนหลังเสื้อ พร้อมกับในคืนเดียวกันนั้นต้องทำพิธีส่งองค์กิ้วอ๋องไต่เต่และบรรดาเทพต่างๆ กลับสู่สวรรค์ โดยม้าทรงและพี่เลี้ยงจะร่วมกันหามเกี้ยวตั่วเหลี้ยนไปยังเสาโกเต้ง ซึ่งผู้ถือศีลกินผักสามารถตั้งโต๊ะบูชาและจุดประทัดเฉลิมฉลองได้ตลอดเส้นทาง เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี

 

 

3. รวม Gen รวมใจ

 

ประเพณีถือศีลกินผักถือเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวภูเก็ตที่ในหนึ่งปีจะมีเพียงครั้งเดียว และจะจัดยาวนานต่อเนื่องถึง 9 วัน ดังนั้นแล้วเทศกาลนี้จึงจำเป็นต้องอาศัยแรงจากชาวภูเก็ตทุกเพศ ทุกวัย ทุกเจเนอเรชัน มาร่วมกันอาสาเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลนี้ สานสัมพันธ์ให้ผู้คนและเมืองได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง

 

เริ่มตั้งแต่ช่วง 3 วันก่อนงานเทศกาล ชาวภูเก็ตและหน่วยงานต่างๆ จากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะร่วมกันทำความสะอาดศาลเจ้าและเตรียมสถานที่จัดงานให้เรียบร้อย เมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาล ชาวภูเก็ตทุกคนจะอาศัยทักษะความสามารถตามที่ตนเองถนัดไปเป็นอาสาสมัครประชาสัมพันธ์กว่า 630 คน หรือจะในส่วนพิธีกรรมและขบวนแห่ต่างๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 37,700 คน ยังรวมไปถึงอาสาสมัครในโรงเจอีกกว่า 1,600 คน และหน่วยรักษาความสะอาดที่คอยดูแลเมืองอีกกว่า 300 คน

 

 

4. ภูเก็ตเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารของยูเนสโก

 

ภูเก็ตได้รับรางวัลเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารของยูเนสโก ที่องค์การยูเนสโกมอบให้กับเมืองต่างๆ ทั่วโลกที่โดดเด่นในด้านอาหาร มีวัฒนธรรมการกินที่หลากหลาย และมีการส่งเสริมอาหารท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยในเทศกาลถือศีลกินผัก จังหวัดภูเก็ต นักเดินทางที่เดินทางมาเข้าร่วมงานประเพณีจะได้ลองลิ้มชิมรสความเป็นภูเก็ตผ่านอาหารเจหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเจต้นตำรับและสไตล์ฟิวชันที่ผสมรสชาติความเป็นจีนฮกเกี้ยน ไทย และมลายู พร้อมเหล่าเชฟจากร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์หลายร้านที่ต่างพากันรังสรรค์อาหารจานผักขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ลบภาพผักใบเขียว รสชาติฝาดลิ้น ให้กลายเป็นเมนูอร่อย แถมยังได้บุญคำโต

 

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ตลอดทั้ง 9 วันในปีนี้ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็ล้วนมีแต่อาหารมังสวิรัติสไตล์ภูเก็ตให้ได้ลองลิ้มชิมรสความเป็นภูเก็ตอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะร้านอาหารมิชลินสตาร์ โรงเจ หรือสตรีทฟู้ดเฉพาะกิจอย่างตลาดหน้าอ๊าม ก็พร้อมต้อนรับและคอยแบ่งปันอาหารให้ทุกคนได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเทศกาลถือศีลกินผักได้ทุกที่ทุกเวลา

 

 

5. พิธีกรรมทุกพื้นที่ เพื่อทุกคนได้เข้าถึง

 

เพื่อให้ชาวเมืองภูเก็ตทุกคนได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลนี้อย่างแท้จริง ในพิธีขบวนแห่พระอ๊ามกว่า 40 แห่งที่กระจายตัวอยู่ทั่วภูเก็ต จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับพิธีนี้ โดยแต่ละอ๊ามจะมีเส้นทางการแห่พระของตนเอง และจะผลัดเปลี่ยนกันไปตามวัน ซึ่งหากได้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในขบวนแล้ว จะได้สัมผัสถึงร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองของภูเก็ตผ่านบรรยากาศเมืองเก่าและอาคารบ้านเรือนสไตล์ชิโน-ยูโรเปียนตลอดสองข้างทาง

 

อีกทั้งผู้ถือศีลกินผัก ชาวเมือง และนักท่องเที่ยว ที่ต้องการรอรับ-ส่งพระ สามารถตั้งโต๊ะรอรับพระในวันที่เส้นทางขบวนแห่พระของแต่ละอ๊ามผ่านหน้าบ้านเรือนได้ ทำให้ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนของเมืองภูเก็ต หรือจะเป็นใคร ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ที่เดินทางไม่สะดวก ก็สามารถรอรับพระในจุดที่ง่ายต่อการเดินทางได้ทุกที่ ซึ่งช่วยลดปัญหาความแออัดและปัญหาการสัญจรที่อาจจะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

 

 

6. เทศกาลกินผักที่รักษ์โลก

 

เทศกาลถือศีลกินผักกินเวลานานกว่า 9 วัน พาให้เมืองภูเก็ตเต็มไปด้วยร่องรอยของการเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่ที่จำเป็นต้องได้รับการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม เพื่อฟื้นคืนสภาพภูเก็ตให้กลับมาอีกครั้ง

 

ในส่วนของอาหารถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ทางเมืองภูเก็ตจึงเห็นว่าจำเป็นต้องมีการจัดการตั้งแต่ต้นลม ผ่านการรณรงค์ให้ลดการใช้พลาสติก และเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเห็นได้ชัดในพื้นที่โรงเจ โดยผู้ถือศีลกินผักสามารถนำปิ่นโตมาเพื่อรับอาหารกลับบ้านได้ หรือหากไม่สะดวก ทางโรงเจจะมีใบตองและชามที่ทำจากวัสดุธรรมชาติไว้ให้บริการ หรือถ้าหากผู้ถือศีลกินผักต้องการรับประทานอาหารที่โรงเจก็สามารถช่วยเมืองได้ด้วยการตักอาหารในปริมาณที่พอเหมาะกับตนเองเพื่อลดปริมาณอาหารเหลือทิ้งได้

 

ส่วนเศษอาหารและเศษผักจะถูกเปลี่ยนเป็นปุ๋ยชีวภาพและอาหารสัตว์ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและความยั่งยืน ทางเมืองภูเก็ตให้ความใส่ใจกับการแยกขยะอินทรีย์และขยะพลาสติก เพื่อนำไปรีไซเคิลอย่างเหมาะสม

 

ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคเกษตรกรรมท้องถิ่น รวมถึงยังช่วยลดขยะจากการฝังกลบ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลได้

 

 

7. ประเพณียิ่งใหญ่ ส่งคืนพื้นที่ไว

 

ตลอดทั้งเทศกาล เมืองภูเก็ตจะถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟ ธง และของตกแต่งมากมาย ซึ่งในแต่ละปีจะนำสิ่งเหล่านั้นกลับมาใช้ใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย มากไปกว่านั้น เมืองภูเก็ตยังให้ความสำคัญไปถึงการลดปริมาณกระถางธูปและขวดน้ำมัน พร้อมใช้เครื่องตรวจจับควันในศาลเจ้า เพื่อลดการก่อให้เกิดควันและมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

 

หลังเสร็จสิ้นเทศกาล เมืองภูเก็ตจะเข้าสู่โหมดฟื้นฟูอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อคืนสภาพถนนและสถานที่จัดงานเทศกาลให้เมืองภูเก็ตกลับสู่สภาพปกติในระยะเวลาอันรวดเร็ว ด้วยแรงกำลังจากอาสาสมัครในจังหวัดภูเก็ตกว่า 300 คน

 

 

8. ถือศีลกินผัก ได้บุญ ได้กระตุ้นเศรษฐกิจ

 

นอกจากในช่วง 9 วันนี้จะได้ชำระกายและจิตใจให้บริสุทธิ์แล้ว ยังมีส่วนช่วยให้เมืองได้ประโยชน์ไปพร้อมกัน โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมเทศกาลถือศีลกินผัก จังหวัดภูเก็ต กว่า 650,000 คน สร้างรายได้ให้เกิดการหมุนเวียนในพื้นที่สูงถึง 5,750 ล้านบาท พร้อมทั้งก่อให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพให้ชาวภูเก็ตอีกกว่า 4,500 ตำแหน่ง เพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นในช่วงเทศกาลนี้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ทั้งในส่วนของโรงแรม การค้าขาย และการขนส่งได้จำนวนมาก

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X