×
SCB Omnibus Fund 2024

ลงทุนในกระเป๋าหรูดีจริงไหม? 7 เคล็ดลับลงทุนในกระเป๋าหรูจากผู้เชี่ยวชาญ

06.05.2023
  • LOADING...

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาของกระเป๋า CHANEL รุ่นคลาสสิกได้พุ่งสูงขึ้นถึง 100% ยังไม่นับกระเป๋าสุดหรูแบรนด์อื่นๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้กระเป๋ากลายเป็นที่ต้องการไม่เพียงแต่นักช้อปสายแฟชั่น แต่สำหรับนักลงทุนด้วย

 

ในความเป็นจริง การเติบโตของราคากระเป๋าหรูนั้นดีกว่าทั้งตลาดหุ้นและทองคำ อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณชะลอตัวด้วยซ้ำ โดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นราวๆ 10% ส่วนทองคำมีมูลค่าเพิ่มขึ้นราวๆ 21% แต่อย่างที่เล่าไปข้างต้นว่ากระเป๋า CHANEL มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 100% โดยในปี 2005 กระเป๋าคลาสสิกมีราคา 1,650 ดอลลาร์ (ราวๆ 56,000 บาท) ส่วนปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 10,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 338,000 บาท) ไปแล้ว และไม่ใช่แค่ CHANEL อย่างในปี 2000 เราอาจจะซื้อ Hermès Birkin ได้ในราคา 4,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 135,000 บาท) ส่วนตอนนี้ราคาอาจพุ่งขึ้นไปถึง 11,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 372,000 บาท) เลยทีเดียว

 

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่ากำไรงามๆ จะทำให้ต้องขายหุ้นหรือเอาเงินจากการลงทุนประเภทอื่นมาลงที่กระเป๋าหรูทั้งหมด เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องคำนึงถึงอีกมากมาย โดย Thomas Kralow นักลงทุนมืออาชีพ ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดการเงิน และผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนออนไลน์ ได้ให้ความเห็นว่า “วินาทีที่กระเป๋าถูกใช้งาน มูลค่าก็จะเริ่มลดลงทันที นอกจากนี้ราคาของกระเป๋ายังได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสแฟชั่น ความชอบของผู้บริโภค และสภาวะเศรษฐกิจด้วย ซึ่งตลาดกระเป๋าหรูมีการเก็งกำไรสูงและอาจมีความผันผวน ดังนั้นต้องมั่นใจว่าเรามีกระเป๋าที่เป็นที่ต้องการจริงๆ”

 

และนี่คือ 7 เคล็ดลับสำหรับนักสะสมที่อยากจะเข้ามาลงทุนในกระเป๋าแบรนด์สุดหรู

 


 

 

1. เลือกรุ่นที่มีความคลาสสิก เช่น CHANEL Flap Bag ก็ไม่เคยตกเทรนด์เลย ซึ่งถ้าลงทุนในสินค้ากระแสนิยมเพียงอย่างเดียว ก็มีโอกาสที่จะขายไม่ได้เป็นเวลาหลายปี

 

 

2. เลือกรุ่นที่มีเอกลักษณ์และมีจำนวนจำกัด จะเพิ่มมูลค่ามากขึ้นในอนาคต เช่น กระเป๋า Himalaya Birkin ซึ่งเป็นหนึ่งในกระเป๋าที่แพงที่สุดตลอดกาล โดยขายทอดตลาดในราคากว่า 440,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 15 ล้านบาท) หรือกระเป๋า Ombré Birkin ก็เป็นกระเป๋าราคาดีที่เป็นที่ต้องการของตลาด

 

 

3. เลือกดีไซน์และสีกลางๆ เพราะเป็นที่ต้องการเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงได้มากกว่าการเลือกรูปแบบที่หวือหวาฉูดฉาด

 

 

4. อย่าลืมเก็บใบรับประกันและบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งจะช่วยพิสูจน์ความถูกต้องของกระเป๋าได้เมื่อขายต่อ

 

 

5. จงเลือกซื้อตามงบประมาณที่มี เพราะถึงจะมั่นใจว่าขายต่อได้แต่ก็อาจจะต้องใช้เวลา ถ้าหากต้องเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือใช้เงินในอนาคตมาซื้อ ก็อาจจะสูญกำไรไปกับดอกเบี้ยหรือค่าเงินเฟ้อ

 

 

6. ลงทุนในเครื่องประดับหรูหราอื่นๆ เช่น นาฬิกาแบรนด์ Rolex และ Patek Philippe ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 

7. การลงทุนในกระเป๋าหรูไม่ควรเป็นเงินลงทุนหลัก แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการลงทุนที่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง การลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรยังคงเป็นสิ่งจำเป็น


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising