เปิดตัวตนอีกด้านของ Taylor Swift นักร้องป๊อปสตาร์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ด้วยวัยเพียง 33 ปี ผ่านคนใกล้ชิด สิ่งที่ควรมีมากกว่าเรื่องของธุรกิจ ทำอย่างไรให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและยังรักษาฐานแฟนๆ ด้วยกระแสทัวร์คอนเสิร์ต The Eras Tour ที่ได้รับการตอบรับล้นหลามทั่วโลก และคาดว่าจะเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำรายได้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์
THE STANDARD WEALTH ชวนอ่านที่มาของความสำเร็จของธุรกิจ 7 เรื่องราวของ Swift ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ณ เวลานี้เธอได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ทางธุรกิจระดับโลก ผ่านมุมมองการสัมภาษณ์คนใกล้ชิดที่เคยร่วมงานจาก The Wall Street Journal
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สิงคโปร์มีดีตรงไหนนะ? ทำเล-การเมือง-การเดินทาง? ล้วงเหตุผลที่ Taylor Swift เลือกพวกเขา…
- The Taylor Swift Tour Effect บทเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และความทุ่มเทของแฟนเพลง…
ระมัดระวังและรักษาความสัมพันธ์คนใกล้ชิด
ในขณะที่นักแสดงในวงการเพลงหลายคนมอบหมายการดำเนินธุรกิจให้กับบุคคลภายนอกเข้ามาจัดการดูแล เธอจะมีส่วนร่วมในการดูแลงานอย่างจริงจังเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดและรักษาพนักงานของเธอ และส่วนพาร์ตเนอร์ที่ต้องดูธุรกิจ หากไม่นับรวมพ่อกับแม่ เธอก็วางใจคนสนิทเพียงไม่กี่คน
โดยทั่วไปแล้วเธอจะหลีกเลี่ยงการมอบหมายผู้จัดการ ตัวแทน และนักกฎหมายจากบุคคลภายนอกที่อาจมีผลต่อธุรกิจ เพราะเธอมีธุรกิจถึง 13 เรื่องที่ต้องจัดการ ตั้งแต่การบริหารโรงเก็บเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวในแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี
เตรียมความพร้อมและฝึกซ้อมอยู่เสมอ
ตอนอายุ 11 ขวบ ขณะที่แม่และน้องชายของเธอรออยู่ในรถ Swift เดินไปตามบ้านเพื่อขอค่ายเพลงในแนชวิลล์เพื่อฟังซีดีเพลงคาราโอเกะ แต่เมื่อสิ่งนั้นไม่ดึงดูดและน่าสนใจ เธอจึงหยิบกีตาร์ขึ้นมาฝึกฝนเป็นเวลาหลายชั่วโมง หลังจากนั้นก็ฝึกทุกวันจนสามารถเล่นและเริ่มเขียนเพลง 2 ปีต่อมา RCA Records ตอบรับเพลงต้นฉบับเพื่อไปพัฒนาเพลงต่อ
มองสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นช่วงเวลาดีๆ
ก่อนออกอัลบั้มใหม่ๆ เธอเดินสายอย่างเหน็ดเหนื่อยทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อโชว์สถานีวิทยุกว่า 200 แห่ง หากเพลงได้รับการตอบรับก็ถือว่าดี แต่หากไม่เป็นไปตามที่หวังก็ทำให้ค่ายเพลงต้องรีบออกอัลบั้มที่เหลือ
ซึ่งตรงนี้ก็มีข้อเสียที่ศิลปินหลายคนรับมือได้ไม่ดีนัก เพราะมันคือความไม่แน่นอน
กระทั่ง Rick Barker ซึ่งเป็นผู้จัดการของเธอบอกว่า ขณะขับรถไปร่วมประชุมกับ KFROG Radio ในริเวอร์ไซด์ แคลิฟอร์เนีย Swift นั่งท้ายรถเอสยูวีของเขาและเล่นเพลง Tim McGraw ซึ่งเป็นซิงเกิลแรกของเธอ ตอนนั้น Barker ได้รับเตือนจากผู้อำนวยการว่าอย่าขอให้ช่วยออกอากาศเพราะช่วงเวลาไม่ได้และยุ่งมาก
วันหนึ่งได้รับโอกาสไปเล่นในสตูดิโอของสถานี และมีท่อนหนึ่งของเพลงที่ร้องว่า “Someday you’ll turn your radio on” (สักวันหนึ่งคุณจะต้องเปิดวิทยุ) ทันใดนั้นเธอมอง Barker และร้องเป็นเพลงแทนว่า “Someday you’ll turn KFROG on” (สักวันหนึ่งคุณจะต้องเปิดวิทยุ KFROG) หลังจากนั้นก็มีกระแสทำให้สถานีวิทยุต้องการเธอมาออกรายการ
เอาผู้ชมให้อยู่
Swift เริ่มต้นจากการใกล้ชิดฐานแฟนคลับของเธอทางออนไลน์ จากแพลตฟอร์ม Myspace, Tumblr จากนั้น Instagram และ TikTok แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้เธอสามารถถ่ายทอดเพลงให้แฟนๆ ได้เร็วขึ้น ใกล้ชิดและเข้าถึงรายละเอียดเล็กน้อย แม้แต่ในช่วงพักโฆษณาที่ KFROG Swift ได้คอยอัปเดตแฟนๆ บน Myspace ว่าเธอกำลังจะออกรายการวิทยุ
มากกว่านั้นเธอมองแฟนเพลงที่อยู่ใน Myspace ว่าเป็นเหมือนสถานที่จัดงาน ทำให้เธอเล่นให้แฟนๆ ฟังได้ในทุกคืน
“การใช้โซเชียลมีเดียแบบฉบับของเธอถือเป็นกุญแจสำคัญที่นอกจากได้พูดคุยใกล้ชิดกับแฟนๆ อีกด้านของธุรกิจยังสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี”
ถึงขั้นที่ว่า Lucian Grainge ผู้บริหารระดับสูงของ Universal Music Group เอ่ยปากชมว่าเธอสามารถใช้แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ปรับวิธีสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับแฟนๆ ได้ดีเยี่ยม
ให้ความสำคัญเพื่อนร่วมงาน พันธมิตร รักษาคอนเนกชัน
สิ่งที่น่าเอาเป็นแบบอย่างของความน่ารัก ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเรื่องของการรักษาคอนเนกชัน บรรดาผู้บริหาร นักจัดรายการวิทยุ และผู้ร่วมธุรกิจอื่นๆ ต่างเล่าถึงความจำอันมหัศจรรย์ของ Swift ว่าเธอสามารถจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับคู่สมรสและบุตรของคนใกล้ชิด ผู้ร่วมธุรกิจทั้งหมดได้
“ทุกวันสำคัญ Swift มักจะมีการ์ดขอบคุณที่เขียนด้วยลายมือของเธอเอง เรื่องนี้เธอให้ความสำคัญมาก และสมาชิกในทีมของเธอจะช่วยกันจดบันทึกเพื่อช่วยเตือนและจำรายละเอียดวันสำคัญของคนสำคัญ และ Swift จะทวนก่อนทุกครั้งก่อนถึงวันสำคัญนั้นๆ ”
สดใสและสดชื่นอยู่เสมอ
ส่วนสำคัญของพลังที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนในฐานะศิลปินที่ทรงพลังทางวัฒนธรรมคือความสดใสของเธอ แม้แต่ Rod Essig โปรดิวเซอร์เพลงและครีเอทีฟ ต้องเอ่ยปากชมเธอว่า
“None of the records are the same, the shows are never the same”
“ไม่มีบันทึกการแสดงใดที่เหมือนกัน การแสดงไม่เคยเหมือนเดิม และทุกคนรอคอยโชว์ใหม่ๆ ในทุกปี”
ในครั้งที่ Swift ตัดสินใจออกอัลบั้มเพลงป๊อปชุดแรก เธอก็พาแฟนเพลงไปที่บ้านด้วย เรียกว่า Tay-lurking แอบซุ่มพาแฟนๆ ไปร่วมสนุก Secret Sessions ซึ่งจัดขึ้นที่บ้านของเธอ ซึ่งเธอได้เล่นเพลงที่ยังไม่เคยเล่นจากอัลบั้ม 1989
รู้จักใช้ความสามารถเป็นการลงทุน แล้วสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้น
เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้นหลายสัปดาห์หลังจากการเปิดตัว 1989 ในปี 2014 เธอดึงแคตตาล็อกทั้งหมดของเธอจาก Spotify เนื่องจากปีนั้นต้องต่อสู้กับสตรีมมิงยักษ์ใหญ่ก่อนที่จะออกอัลบั้ม โดยขอให้ Spotify ให้บริการ 1989 เฉพาะสมาชิกที่ชำระเงินเท่านั้น
หมายความว่าเพลงที่ทำจะไม่ใช่เพลงที่ฟังได้ฟรีๆ อีกต่อไป และสิ่งที่มีค่าควรได้รับเป็นมูลค่า
เธอเขียนในบทความชิ้นหนึ่งของ The Wall Street Journal ว่า “ฉันคิดว่าเพลงไม่ควรเป็นอิสระ ฉันคือศิลปิน และแต่ละคน แต่ละค่ายเพลงของพวกเขาจะเป็นผู้ตัดสินว่าราคาของอัลบั้มเป็นอย่างไร”
Daniel Ek ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Spotify กล่าวว่า เขาบินไปแนชวิลล์หลายครั้งเพื่อพูดคุยกับค่ายเพลงของ Swift เกี่ยวกับการสตรีมที่เธอให้ความสำคัญ จนกระทั่ง 3 ปีต่อมา ก่อนที่อัลบั้ม Reputation ของเธอจะออกวางจำหน่าย เธอตกลงที่จะคืนแคตตาล็อกของเธอให้กับ Spotify ซึ่งไม่มีการผ่อนปรนหรือเปลี่ยนแปลงการจ่ายเงินให้กับศิลปิน เมื่อถึงเวลานั้น 1989 กลับมียอดจำหน่ายทั่วโลกถึง 10 ล้านชุด เนื่องจากการงดให้บริการเพลงของเธอทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
Ek บอกอีกว่า ไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ Spotify ทำเพื่อโน้มน้าว Swift ได้ เพราะเธอรักอิสระอย่างมาก และที่สำคัญเธอรู้ว่ามีผู้ชมจำนวนมากบน Spotify
แถมครั้งนั้นยังรักษาอันดับอัลบั้ม Reputation ของเธอไว้ตั้งแต่การสตรีมจนถึงสามสัปดาห์หลังจากวางจำหน่าย ช่วยเพิ่มยอดขายสูงสุดให้กับอัลบั้มดิจิทัลและฉบับจริงที่มีกำไรมากขึ้น และยังเปิดตัวที่อันดับ 1 ในชาร์ตอัลบั้ม Billboard 200 และขายได้มากกว่า 41% มากกว่าอัลบั้มอื่นๆ 199 อัลบั้มรวมกันอีกด้วย
หากมองบรรดาเพื่อนๆ ศิลปิน อย่าง Rihanna ที่ประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินแต่หันไปเปิดตัวธุรกิจอื่นๆ ขณะที่ Taylor Swift ยังคงรักษาอาณาจักรของเธอไว้ในโลกของดนตรี และเธอเป็นต้นแบบการใช้ชีวิตให้กับหนุ่มสาวอเมริกันและแฟนเพลงทั่วโลก
อ้างอิง: