×
SCB Omnibus Fund 2024

7 เรื่องที่คนเข้าใจผิดของหุ้น Tesla

26.01.2021
  • LOADING...
หุ้น Tesla

Tesla คือหุ้นที่ขึ้นเยอะที่สุดตัวหนึ่งของปี 2020 โดยราคาหุ้นขึ้นมา 695% ในปีเดียว

 

การวิ่งขึ้นของราคาที่มากขนาดนี้ทำให้ อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก แซงหน้า เจฟฟ์ เบโซส์ ไปได้

 

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคนมากมายยังคงมีความไม่เข้าใจธุรกิจของ Tesla อยู่มาก วันนี้จึงอยากอธิบายมุมมองจากการศึกษาหุ้น Tesla ว่าแท้จริงแล้วคนที่ซื้อและยังถือหุ้นตัวนี้อยู่แม้ราคาจะขึ้นมาเกือบ 7 เท่าใน 1 ปี เขาคิดอะไรกัน?

 

  1. หลายคนคิดว่า Tesla คือบริษัทผลิตรถยนต์ บ่อยครั้งถูกนำไปเทียบกับ GM มั่ง Ford มั่ง Toyota มั่ง แต่ในความเป็นจริง Tesla มีสินค้าที่ขายคือรถยนต์ไฟฟ้า แต่ Tesla ไม่ใช่บริษัทรถยนต์โดยคำนิยามนะครับ ถ้าไปดูที่เว็บไซต์ของ Tesla จะเห็นชัดเจนว่า Tesla มี Mission คือ “To accelerate the world’s transition to sustainable energy” แปลเป็นไทยว่า “เร่งความเร็วในการเปลี่ยนผ่านโลกเข้าสู่การใช้พลังงานที่ยั่งยืน” คำว่าพลังงานยั่งยืน คือพลังงานที่เกิดจากธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่มีวัดหมดไป และเป็นพลังงานที่สะอาด ดังนั้นสินค้าของบริษัทคือ รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด แผงหลังคาโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่สำหรับเก็บพลังงาน Powerwall เป็นต้น 

 

  1. อย่างไรก็ตาม การที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึง การผลิตแผงโซลาร์เซลล์ที่ราคาไม่แพง ติดตั้งง่าย การผลิต Powerwall เพื่อเก็บไฟฟ้าในตอนกลางวันไว้ใช้ในตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องทุ่มงบมหาศาลในการทำ R&D แล้ว ยังต้องผลิตอย่างมีประสิทธิภาพสุดๆ เพื่อให้ต้นทุนต่ำที่สุด ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้เกิด Giga Factory ขึ้น ซึ่งเป็นโรงงานที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อผลิตสินค้าที่กล่าวมาในราคาที่ต่ำที่สุดโดยเฉพาะ นอกจากนั้น Gigafactory ยังเป็น Net Zero Energy Factory อีกด้วยคือเป็นโรงงานที่สามารถสร้างพลังงานไว้ใช้ในโรงงานเองได้อย่างเพียงพอโดยไม่ต้องซื้อไฟจากภายนอก 

 

อีลอน มัสก์ เคยบอกว่า การจะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีและประสบความสำเร็จได้นั้นยากมาก แต่การจะสร้างโรงงานที่ผลิตสินค้านั้นในราคาต้นทุนที่ถูกลงเรื่อยๆ และยังคงศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมนั้นยากกว่าเป็นพันเท่า ผมเชื่อว่า ตอนนี้รถไฟฟ้าของ Tesla น่าจะมีต้นทุนที่ถูกที่สุดในโลก ถ้าไม่มี Gigafactory จะทำแบบนี้ไม่ได้เลย ดังนั้นถ้าถามว่าผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดของ Tesla คืออะไร? ไม่ใช่รถ ไม่ใช่แผงโซลาร์ ไม่ใช่แบตเตอรี่เก็บไฟ แต่เป็น Gigafactory นี่แหละ

 

  1. Gigafactory สำคัญกับ Tesla มากๆ อีลอน มัสก์ เคยบอกว่า ถ้าอยากให้โลกเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การใช้พลังงานอย่างยั่งยืนจริงๆต้องสร้าง Gigafactory มากถึง 100 โรงงาน 1 โรงงานสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้มากที่สุดประมาณ 2 ล้านคัน ถ้ามี 100 โรงงาน ก็แปลว่าผลิตได้ปีละ 200 ล้านคัน ซึ่งจะเกินความต้องการรถยนต์ของโลกไปมาก เนื่องจากทั้งโลกตอนนี้ขายรถยนต์ได้ปีละประมาณ 60 ล้านคัน Tesla จะสร้างโรงงาน 100 โรงงานจะเยอะเกินไปไหม? ประเด็นนี้ต้องอย่าลืมด้วยว่าตอนนี้แม้ผลิตภัณฑ์ที่ขายได้มากที่สุดของ Tesla คือรถยนต์ แต่ในอนาคตอีลอนเองก็ไม่เคยบอกว่าจะขายรถยนต์อย่างเดียว ดังนั้นในอนาคต Gigafactory อาจผลิตอย่างอื่นด้วยที่เกี่ยวข้องกับพลังงานยั่งยืน พลังงานสะอาด ซึ่งก็น่าจะเป็น S-Curve ใหม่ในอนาคตของ Tesla

 

  1. นอกจากธุรกิจรถยนต์แล้ว Tesla ยังมีธุรกิจพลังงานที่มีการเติบโตสูงไม่แพ้ธุรกิจรถยนต์ โดยนักวิเคราะห์คาดว่า ธุรกิจติดตั้งหลังคาโซลาร์จะกลับมาเติบโตมากอีกครั้งหลังจากที่ Tesla มีการปรับทีมการทำงานและโมเดลธุรกิจใหม่ ส่วนธุรกิจ Powerwall ก็ทำ New High ทุกปี แม้ทั้ง 2 ธุรกิจจะมีรายได้รวมกันเพียงหลัก 2 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับรายได้ทั้งบริษัทที่ราวๆ 2.5-3 หมื่นล้านดอลลาร์ มีสัดส่วนเพียงไม่ถึง 10% สิ่งที่น่าสนใจของ Tesla Energy คือตลาดอันใหญ่มหาศาลมากๆ ซึ่งก็คือตลาดการเปลี่ยนหลังคาในสหรัฐฯ สหรัฐฯ มีบ้านทั้งสิ้น 75 ล้านหลัง ทุกๆ ปีจะมีบ้านประมาณ 7% ที่มีการเปลี่ยนหลังคาใหม่ หรือนับเป็นจำนวนราวๆ 5 ล้านหลัง ถือเป็นตลาดที่ใหญ่และไม่มีคู่แข่ง ถ้า Tesla สามารถเจาะตลาดได้อาจจะกลายเป็นผู้เล่นรายเดียวด้านหลังคาโซลาร์ไปเลย ดังนั้นการเล่นหุ้น Tesla ต้องไม่มองแค่ตลาดรถยนต์อย่างเดียว แต่ตลาดพลังงานเองก็สำคัญไม่แพ้กัน

 

  1. Tesla จะโดนคู่แข่งสารพัดแบรนด์แย่งส่วนแบ่งการตลาดหรือไม่? เพราะตอนนี้มีบริษัทเยอะมากๆ แห่เข้ามาในตลาดสารพัดแบรนด์ทั้งแบรนด์เก่าแบรนด์ใหม่ ถ้าตาม Tesla มาสักระยะจะรู้ว่าตลาดรถยนต์ที่ Tesla จะเจาะคือ Mass Market ดังนั้น Tesla จึงตั้งใจลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ถึงจุดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต้นทุนการผลิตรถหรือต้นทุนแบตเตอรี่ของ Tesla จะต่ำมากๆ จนกลายเป็นเจ้าตลาดไปในที่สุด ส่วนรถยนต์ค่ายอื่น เนื่องจากไม่มี Gigafactory ไม่ได้มี Know-How แบตเตอรี่ การจะเข้ามาแข่งกับ Tesla ในตลาด Mass นั้นเป็นเรื่องยากมาก จึงไม่แปลกที่จะเห็นรถยนต์หลายๆ แบรนด์เริ่มต้นทำการตลาดที่ Segment Luxury

 

  1. การเป็นอันดับต้นๆ ของตลาด Mass มีข้อดีข้อหนึ่งที่ตลาดรถลักชัวรีไม่สามารถให้ได้เลยคือ ‘ข้อมูลการขับขี่’ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการต่อยอดไปสู่ Full Self-Driving หรือรถยนต์ไร้คนขับ ยิ่งมีรถออกไปในตลาดมากเท่าไร ระบบยิ่งสามารถเรียนรู้การขับขี่อัตโนมัติได้ดีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งทำให้รถยนต์ของ Tesla มีระบบที่ดีกว่ารถยนต์ค่ายอื่นๆ Tesla กำลังจะเริ่มให้บริการฟังก์ชั่น Full Self-Driving เร็วๆ นี้ ซึ่งจะทำให้กำไรจากการขายรถดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมราคาหุ้น Tesla ถึงได้วิ่งขึ้นมาก

 

  1. หุ้น Tesla ที่ราคาตลาด 8 แสนล้านแพงไปหรือไม่? ข้อนี้เป็นข้อที่ตอบยากมากๆ เอาตรงๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจถูกหรือผิด แต่คนที่ซื้อ Tesla ที่ผมรู้จักมีมุมมองประมาณนี้ครับ Tesla มีเป้าหมายในการขายรถปี 2030 จำนวน 20 ล้านคัน Tesla ได้กำไรจากการขายรถคันละ 1 หมื่นดอลลาร์ต่อคัน น่าจะมีกำไรแถวๆ 1-1.5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี (หักค่าใช้จ่ายคร่าวๆ แล้ว) เอา Valuation Metric แบบดั้งเดิมมาวัดเลยคือ P/E ถ้าให้แถวๆ 20 เท่า Tesla อาจจะมีมูลค่าสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ ถ้าให้สัก 40 เท่า ก็ 4 ล้านล้านดอลลาร์ ในตลาดตอนนี้พูดกันบางคนก็ไป 8 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 10 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว โดยสมมติฐานนี้ยังไม่รวมธุรกิจอื่นๆ และในความเป็นจริง P/E อาจจะไม่เหมาะนำมาใช้กับ Tesla ด้วยซ้ำไป อาจจะไปใช้ P/S, EV/EBITDA หรืออะไรก็แล้วแต่ ขออภัยที่ไม่เขียนไว้ตรงนี้เพราะจะยาวเกินไป

 

ดูไปเหมือนราคา Tesla จะไปได้อีกไกล แต่อยากจะบอกทุกคนไว้ว่าช่วงระยะเวลา 9-10 ปี อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการลงทุนคือการบริหารจัดการความไม่แน่นอน ถ้าถามว่า Tesla ในวันนี้ถูกหรือแพงคงไม่มีใครบอกได้ แต่ถ้าถามว่าเป็นบริษัทที่ดีมีอนาคตไหม อันนี้น่าจะตอบได้แทบจะ 100% เลยว่าดีและมีอนาคตไกลมากๆ สุดท้ายนักลงทุนจะทำกำไรได้มากน้อยคงอยู่ที่ราคาที่ซื้อและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นระหว่างทาง รวมถึงการบริหารจิตใจตนเองด้วย

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising