×

6 บทเรียนจาก Sex Education ที่ชวนทั้ง ‘วัยรุ่น’ และ ‘ผู้ใหญ่’ มาร่วมเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน

13.09.2021
  • LOADING...
sex education

*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของ Sex Education ซีซัน 1-2*

 

เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วที่เหล่าวัยว้าวุ่นจะได้กลับไปเข้าห้องเรียนเพศศึกษากันอีกครั้งใน Sex Education ซีซัน 3 ออริจินอลซีรีส์จาก Netflix ซึ่งจะเริ่มสตรีมในวันที่ 17 กันยายนนี้ และเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนชม THE STANDARD POP จึงขอรวบรวม 6 บทเรียนจาก Sex Education ที่ชวนทั้ง ‘วัยรุ่น’ และ ‘ผู้ใหญ่’ มาร่วมเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน

 

เพราะไม่ว่าเราจะเป็นใคร เพศไหน หรืออายุเท่าไร เราทุกคนต่างก็สามารถ ‘ผิดพลาด’ และ ‘เรียนรู้’ ได้เสมอ

 


 

 

ก่อนที่ โอทิส (Asa Butterfield) จะร่วมมือกับ เมฟ (Emma Mackey) ในการเปิดคลินิกบำบัดทางเพศขึ้นในโรงเรียน เขาได้ตัดสินใจเดินเข้าไปปรึกษา จีน (Gillian Anderson) แม่ผู้เป็นนักบำบัดทางเพศ เพื่อถามถึงการเป็นนักบำบัดที่ดี

 

“มันคืองานที่ถ้าพูดผิดคำเดียวอาจทำให้เจ็บปวดทางจิตใจและได้รับความเสียหายทางอารมณ์นานหลายสิบปี นักบำบัดที่ดีจะต้องเข้าใจถึงความรับผิดชอบที่หนักอึ้งนี้”

 

แม้ว่าสิ่งที่จีนบอกกับโอทิสจะเป็นคุณสมบัติที่นักบำบัดทางเพศทุกคนควรมี แต่หากเราลองมองบทสนทนานี้ให้ลึกลงไปกว่านั้น ในยุคสมัยที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียกันได้ง่ายขึ้น ก็อาจทำให้ใครหลายคนหลงลืมที่จะระมัดระวังคำพูดที่อาจทำร้ายจิตใจผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ

 

ประโยคสั้นๆ ของจีนจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดที่แม่กำลังบอกกับลูกชายที่เริ่มเติบโตเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยคเตือนใจให้เราทุกคนควรพึงระวังคำพูดของตัวเองให้มากๆ เพราะบางคำพูดที่เราคิดว่าเป็นเรื่องตลก อาจจะเป็นคำพูดที่กรีดแทงจิตใจผู้ฟังไปตลอดกาลได้เช่นกัน

 

เหมือนที่มีคนบอกไว้ว่า ‘คำพูดฆ่าคนได้’ จริงๆ

 


 

 

องค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ Sex Education เป็นมากกว่าแค่ซีรีส์ที่มอบความบันเทิงให้แก่ผู้ชม นั่นคือการหยิบประเด็นปัญหาวัยรุ่นที่ไม่ห่างไกลจากผู้ชมมานำเสนอ โดยเฉพาะประเด็นของ ‘การถูกบูลลี่’ ภายในโรงเรียน

 

เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่ โอทิส และ เมฟ ได้รับการไหว้วานจาก รูบี้ (Mimi Keene) ให้ช่วยตามหานักเรียนที่วางแผนจะประณามเธอด้วยการเผยแพร่รูปอวัยวะเพศของตัวเอง โดยในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังล้วงความจริงจากนักเรียนที่เป็นผู้ต้องสงสัย จู่ๆ โอทิสก็เริ่มมีปากเสียงกับเมฟ เนื่องจากเขาต้องผิดนัดกับ เอริก (Ncuti Gatwa) เมฟจึงอธิบายเหตุผลว่าทำไมเธอถึงจำเป็นต้องช่วย แม้ว่าจะเป็นคนนิสัยเสียอย่างรูบี้ก็ตาม

 

“รู้ไหมฉันโดนเรียกว่าจอมกัดจู๋มานานแค่ไหน 4 ปี คนที่ฉันไม่รู้จักมาเรียกฉันว่าจอมกัดจู๋กันซึ่งๆ หน้า บอกว่าฉันมีเซ็กซ์กับผู้ชายสี่คนพร้อมกัน รู้ไหมมันเริ่มต้นยังไง ไซมอนพยายามจูบฉันที่งานวันเกิดของ แคลร์ ไทเลอร์ แต่ฉันปฏิเสธ เขาเลยบอกทุกคนว่าฉันเป่าปี่ให้แล้วกัดจู๋เขา แค่นั้นแหละ

 

“เรื่องแบบนี้อยู่ถาวร มันเจ็บและไม่มีใครควรถูกประณาม ต่อให้เป็นรูบี้ก็ตาม”

 

เพราะรู้ซึ้งถึงรสชาติของการถูกผู้อื่นประณามเป็นอย่างดี (ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องจริง) เมฟจึงไม่สามารถปฏิเสธที่จะช่วยเหลือรูบี้ได้ เพราะเธอไม่อยากให้รูบี้ต้องเผชิญเหตุการณ์แบบเดียวกับที่เธอเคยเจอ บทสนทนาในฉากนี้จึงไม่ได้เผยปมปัญหาของตัวละครเมฟอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นฉากที่ย้ำเตือนให้ผู้ชมตระหนักถึงปัญหาของการถูกบูลลี่ในโรงเรียน เพราะคำพูดหรือการกระทำที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสนุกสนาน แต่คำพูดเหล่านั้นสามารถทำร้ายจิตใจของผู้ถูกกระทำไปอย่างถาวร

 


 

 

แม้ว่า Sex Education จะเป็นซีรีส์แนว Coming of Age ที่จะพาผู้ชมไปติดตามเรื่องราว ‘การเรียนรู้’ และ ‘เติบโต’ ของเหล่าตัวละครวัยกลัดมัน แต่อีกสิ่งสำคัญที่ซีรีส์เรื่องนี้พยายามจะนำเสนอไม่แพ้กันคือ การสื่อสารให้ผู้ชมได้ตระหนักว่า ‘ผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน’ ก็สามารถเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับเด็กๆ ได้เช่นกัน

 

และหนึ่งในตัวละครที่นำเสนอประเด็นดังกล่าวได้ชัดที่สุดคือ เอฟฟิออง (DeObia Oparei) ที่มักจะเป็นห่วงลูกชายอย่าง เอริก (Ncuti Gatwa) อยู่เสมอ เนื่องจากในช่วงเวลาที่เอฟฟิอองเดินทางมาตั้งรกรากที่อังกฤษใหม่ๆ เขามักจะถูกคนผิวขาวรังแกอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกังวลว่าการแต่งกายด้วยชุดสีฉูดฉาดของลูกชายอาจทำให้เอริกถูกคนอื่นรังแกเช่นเดียวกับที่เขาเคยเผชิญ

 

จนกระทั่งในฉากงานเต้นรำของโรงเรียน ที่เอริกได้ข้ามผ่านปมปัญหาและเรียนรู้ที่จะรักในความเป็นตัวเองได้แล้ว เอริกจึงบอกพ่อผู้คอยเป็นห่วงเขาอยู่เสมอถึงสิ่งสำคัญที่เขาได้ค้นพบว่า

 

“อย่างไรผมก็เจ็บตัวอยู่ดี เจ็บแต่เป็นตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ”

 

ด้วยประโยคสั้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญของเอริก จึงทำให้เอฟฟิอองได้เรียนรู้ที่จะยอมรับในคุณค่าของตัวเองและกล้าที่จะเผชิญหน้ากับใครก็ตามที่มองว่าเราแตกต่างจากคนอื่น ก่อนที่เขาจะกล่าวกับลูกชายตรงหน้าด้วยความภาคภูมิใจว่า

 

“บางทีพ่ออาจกำลังเรียนรู้จากลูกชายผู้กล้าหาญ”

 


 

 

หลังจากที่เมฟได้รับความช่วยเหลือจาก ครูแซนด์ส (Rakhee Thakrar) จนได้รับอนุญาตให้กลับมาเรียนที่โรงเรียนอีกครั้ง ครูแซนด์สจึงชักชวนให้เธอลองมาเข้าเรียนในคลาสพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อช่วยแนะนำแนวทางในอนาคต พร้อมมอบหมายให้นักเรียนทุกคนเขียนรายงานเกี่ยวกับตัวฉันในอีกสิบปีข้างหน้า

 

แต่ดูเหมือนว่าการกลับมาเรียนวันแรกของเมฟจะไม่ราบรื่นเท่าไรนัก เมื่อครูแซนด์สให้นักเรียนในคลาสออกมาพูดเกี่ยวกับรายงานของแต่ละคน ซึ่งรายงานของทุกคนต่างอัดแน่นไปด้วยความฝันและแรงปรารถนา เธอจึงโกหกครูแซนด์สว่าลืมรายงานไว้ที่บ้าน เพื่อจะได้ไม่ต้องพูดความฝันของตัวเองต่อหน้าคนอื่น

 

จนกระทั่งเมฟได้มาเจอกับครูแซนด์สอีกครั้งที่สวนสนุก เธอจึงรวบรวมความกล้าและนำรายงานของตัวเองให้ครูแซนด์สได้อ่าน นั่นจึงทำให้ครูแซนด์สเข้าใจว่าที่เมฟโกหก เพราะความฝันของเธอนั่นแสนธรรมดาและเรียบง่าย

 

“เธอเป็นนักเขียนภาษาสวยเมฟ เธอฝันได้ไกลกว่าโต๊ะสี่ที่นั่งและหน้าต่างสองสามบาน”

 

ด้วยข่าวลือต่างๆ นานาที่ทำให้ทุกคนต่างเข้าใจผิดว่าเมฟคือนักเรียนที่ไม่มีอนาคต แต่ครูแซนด์สคือหนึ่งในไม่กี่คนที่มองเห็นในความสามารถของเธอ ดังนั้นประโยคที่ครูแซนด์สกล่าวกับเมฟในฉากนี้ จึงแสดงให้เราเห็นว่าสิ่งที่เด็กนักเรียนหลายคนต้องการจากครูหรือผู้ใหญ่ อาจไม่ใช่การสั่งสอนให้ทำแบบนั้นแบบนี้เสมอไป แต่อาจจะเป็นใครสักคนที่มองเห็นความสามารถและคุณค่าในตัวของเด็กๆ 

 

เพราะบางครั้ง นักเรียนหลายคนก็แค่ต้องการใครสักคนที่ยอมรับและเชื่อมั่นในความสามารถของเขาและเธอเท่านั้นเอง…

 


 

 

แม้ว่าเหตุผลที่ โซเฟีย (Hannah Waddingham) พยายามเข้มงวดในเรื่องกีฬาว่ายน้ำกับ แจ็คสัน (Kedar Williams-Stirling) ก็เพื่อหวังให้ลูกชายมีอนาคตที่สดใสและได้ทำกิจกรรมที่ทั้งคู่ชื่นชอบร่วมกัน

 

แต่ดูเหมือนว่าความเข้มงวดของโซเฟียจะส่งผลให้แจ็คสันต้องแบกรับความคาดหวังมากเกินไป จนทำให้ความรักในการว่ายน้ำของแจ็คสันค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง เขาจึงตัดสินใจยืนมือไปให้เครื่องยกน้ำหนักทับจนกระดูกข้อมือหักเพื่อหลีกหนีจากจากการว่ายน้ำ และนั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามกับตนเองว่า ‘อะไรคือสิ่งที่เราชอบจริงๆ’ ก่อนที่จะได้มาพบกับ วิฟ (Chinenye Ezeudu) เด็กสาวผู้ฉลาดหลักแหลมที่ช่วยให้เขาได้พบกับการแสดงละครเวที

 

จนในที่สุด แจ็คสันก็ค้นพบว่าเขาชื่นชอบในการแสดงมากกว่าการว่ายน้ำ เขาจึงตัดสินใจที่จะบอกความฝันใหม่ของตัวเองให้แม่เข้าใจ

 

“ผมไม่อยากว่ายน้ำแล้ว มันทำให้ผมไม่มีความสุข แต่มันไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรานะครับ แม่ต้องให้ผมคิดเองว่าผมเป็นใครและผมชอบทำอะไร แต่แม่จะเป็นแม่แท้ๆ ของผมเสมอ”

 

บทเรียนสำคัญข้อหนึ่งที่ Sex Education กำลังบอกเล่าผ่านเรื่องราวของโซเฟียและแจ็คสัน คือการนำเสนอให้ผู้ชมเห็นว่า ‘ความคาดหวัง’ ของครอบครัวที่มากเกินไป บางครั้งมันก็อาจกลายเป็นดาบสองคมที่คอยทิ่มแทง ‘ความรู้สึก’ ของเด็กๆ โดยไม่รู้ตัว รวมถึงการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ ‘ค้นหาความฝันของตัวเอง’ ก็อาจสำคัญกว่าการ ‘ฝากฝังความฝัน’ ให้กับพวกเขา

 


 

 

ไม่ว่าต้นเหตุจะเป็นอย่างไร แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างที่ อดัม (Connor Swindells) ได้กระทำต่อ เอริก (Ncuti Gatwa) ทั้งการกลั่นแกล้งด้วยการใช้กำลังหรือการพูดจาเหยียดหยาม ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้อภัย ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งประเด็นที่ Sex Education ซีซัน 2 พยายามนำเสนอผ่านตัวละครอย่างอดัมคือประเด็นของ ‘การขอโทษอย่างจริงใจ’

 

ตลอดซีซัน 2 ผู้ชมจะได้ติดตามเรื่องราวของอดัมที่ถูกบังคับให้เข้าโรงเรียนทหาร ซึ่งทำให้เขาได้ลอง ‘ตั้งใจ’ ทำบางสิ่งอย่างจริงจัง การได้มาพบกับ โอลา (Patricia Allison) ผู้ที่ยอมรับว่าเขาคือ ‘เพื่อน’ เป็นคนแรก รวมถึงการที่เอริกรู้สึกยินดีที่อดัมกลับมาจากโรงเรียนทหาร ทั้งหมดนี้ได้ให้โอกาสอดัมเริ่ม ‘ทบทวน’ เหตุการณ์ที่เขาเคยกระทำไว้ในอดีต และทำให้เขาค้นพบว่ายังมีกลุ่มคนที่ยอมรับในตัวเขาอยู่ ซึ่งหนึ่งในคนเหล่านั้นคือเอริก ผู้ที่เขาเคยกลั่นแกล้งมาโดยตลอด

 

“ฉันเป็นคนไม่น่ารักเอง ฉันเข้าใจว่าฉันทำนายเจ็บ แค่อยากให้รู้ไว้”

 

แม้ว่าประโยคข้างต้นจะไม่มีคำว่า ‘ขอโทษ’ สักคำเดียว แต่มันกลับอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกขอโทษอย่างจริงใจ ซึ่งเราอาจตีความสิ่งที่อดัมอยากจะกล่าวกับเอริกได้อีกแง่มุมหนึ่งว่า เขาไม่ได้ต้องการ ‘การให้อภัย’ จากเอริกเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ต้องการให้เอริกได้รับรู้ว่าตัวเขาสำนึกในความผิดที่ตัวเองเคยก่อขึ้นแล้ว และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน

 

ภาพ: Netflix, imdb

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising