วางจำหน่ายในเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ AirTag อุปกรณ์ขนาดเล็กเพื่อติดตามและค้นหาตำแหน่งของสิ่งของสำคัญ ที่เปิดตัวในราคา 990 บาทสำหรับแพ็ก 1 ชิ้น และ 3,390 บาทสำหรับแพ็ก 4 ชิ้น แน่นอนว่าด้วยราคาที่ไม่สูงจนเกินไปนัก ทำให้ใครหลายคนอยากซื้อหาอุปกรณ์เสริมชิ้นนี้มาลองใช้ก่อนใคร และเหล่านี้คือสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนจับจองเป็นเจ้าของ
1. AirTag ทำงานด้วยการใช้ชิป UI ในตัวและบลูทูธ แต่เมื่ออยู่ห่างจากเจ้าของและนอกระยะสัญญาณ มันยังสามารถทำงานผ่านทางเครือข่าย Find My จากอุปกรณ์ Apple ที่มีระบบปฏิบัติการ iOS นับพันล้านเครื่องทั่วโลก ก่อนส่งสัญญาณกลับมายังเจ้าของ AirTag เพื่อบอกให้รู้ว่าฉันอยู่ตรงนี้
2. AirTag ใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชัน Find My ใน iPhone, iPad และ iPod Touch ที่มีระบบปฏิบัติการ iOS 14.5 หรือสูงกว่าสำหรับ iPhone (อาทิ iPhone 6s ขึ้นไป หรือ iPhone SE) และ iPadOS 14.5+ สำหรับแท็บเล็ต แต่ถ้าจะใช้งานฟีเจอร์นำทางอย่าง Precision Finding ต้องเป็น iPhone รุ่น 11 และ 12 เท่านั้น และนั่นหมายความว่าสำหรับคนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android จึงยังไม่สามารถใช้งาน AirTag ตอนนี้ได้
3. ไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตฯ เพราะ AirTag ใช้แบตเตอรี่กระดุม CR2032 ที่หาซื้อได้ทั่วไป และสามารถถอดเปลี่ยนได้เองโดยไม่ต้องเข้าช็อป ซึ่งทาง Apple เคลมว่าแบตฯ สามารถใช้ได้นาน 1 ปี
4. ไม่สามารถเอาลงน้ำได้ เพราะ AirTag สามารถกันน้ำและฝุ่นได้เพียงระดับ IP67 หรืออยู่ในน้ำได้ลึกไม่เกินหนึ่งเมตร นาน 30 นาที (พอๆ กับ iPhone SE ที่ออกมาในปี 2020) ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการเอาไปว่ายน้ำหรือดำน้ำด้วย แต่หากน้ำกระเซ็นมาโดนใส่อย่างนี้ปลอดภัย
5. AirTag ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อตามติดสัตว์เลี้ยงและบุคคล นี่คือสิ่งทาง Apple เน้นย้ำ เนื่องจากสัตว์เลี้ยงไม่ค่อยอยู่นิ่ง การจะตามติดเราต้องมั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงอยู่ในระยะที่มีอุปกรณ์ iOS เครื่องอื่นๆ จึงจะค้นหาได้ (เช่น วิ่งผ่านคนที่กำลังเล่น iPhone) ส่วนการตามติดบุคคล ทาง Apple ได้ออกแบบระบบป้องกันที่รัดกุม ทั้งข้อมูลของผู้เป็นเจ้าของ AirTag และตัวบุคคลที่ถูกติดตาม ทำให้การติดตามโดยไม่ได้รับความยินยอมนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะมันจะฟ้องขึ้นมาเลยว่า ‘AirTag Found Moving With You’
นั่นแน่ ถูกจับได้แล้วสิ
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: