×

5 สิ่งที่ได้เห็นจากการกลับมา ‘รีสตาร์ท’ วันแรกของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก

18.06.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MINS. READ
  • ภาพที่น่าประทับใจในช่วงก่อนการลงสนามของทั้งคู่ระหว่าง แอสตัน วิลลา กับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และคู่ระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับอาร์เซนอล คือการที่นักฟุตบอลทั้ง 22 คนในสนามต่างพร้อมใจกันคุกเข่าก่อนจะเริ่มเขี่ยบอล
  • Hawk-Eye ยอมรับว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 9,000 นัดที่ใช้งาน
  • Fan Wall คือจอภาพขนาดยักษ์ (ใหญ่ทีเดียว) ที่ใช้ระบบแพลตฟอร์มการประชุมออนไลน์ที่จะให้แฟนบอลเข้ามา Join Group กัน (ซึ่งคนที่จะได้ Join นั้นก็แล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละสโมสร เช่น เป็นผู้ถือตั๋วปี หรือร่วมสนุกกัน) จากนั้นแฟนบอลที่ได้รับการคัดเลือกก็จะได้มีโอกาสปรากฏบนจอให้นักฟุตบอลได้เห็นสีหน้า ท่าทาง อารมณ์ร่วมของพวกเขา

กลับมาทักทายทุกคนอย่างเป็นทางการอีกครั้งแล้ว สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ได้ฤกษ์ประเดิม 2 นัดแรกไปเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเกมตกค้างของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และแอสตัน วิลลา ซึ่งค้างคามาตั้งแต่ช่วงของเกมนัดชิงลีกคัพเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

 

แน่นอนว่าการหายหน้าหายตาไปถึง 100 นัด แถมยังเป็นการกลับมาครั้งแรกของฟุตบอลอังกฤษหลังโควิด-19 ย่อมเป็นที่น่าสนใจของคอกีฬาทั่วโลกที่จับตามองอย่างมาก ซึ่งก็มีสิ่งละอันพันละน้อยที่นอกเหนือจากเกมการแข่งขันที่น่าสนใจ

 

ขออนุญาตรวบรวมเอามาฝากกันไว้ที่ตรงนี้

 

ภาพ: @AVFCOfficial

 

  1. Black Lives Matter และการคุกเข่า

กระแสการต่อสู้กับการเหยียดสีผิวที่ลุกลามต่อเนื่องจากกรณีการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ได้เดินทางมาถึงอังกฤษในเวลาไม่นาน และนอกจากจะได้รับการสานต่อจากเหล่านักกีฬาผิวดำที่ออกมาเรียกร้องให้จัดการแก้ไขปัญหาที่หยั่งรากฝังลึกนี้อย่างยาวนาน เวลานี้ทุกคนพร้อมใจกันที่จะต่อสู้ในเรื่องนี้ด้วย

 

จากเดิมที่พรีเมียร์ลีกมีการประกาศว่าใน 12 เกมแรกของพรีเมียร์ลีก ​(2 นัดตกค้างเมื่อคืนนี้ และ 10 นัดในโปรแกรมแมตช์เดย์ที่ 30 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้)​ บนหลังเสื้อนักฟุตบอลทุกคนจะเปลี่ยนจากชื่อของแต่ละคนมาเป็นข้อความเดียวกัน ซึ่งเป็นแคมเปญรณรงค์ในเวลานี้ว่า Black Lives Matter ที่แปลได้ว่า ‘ชีวิตคนผิวดำก็มีความหมาย’

 

แต่ภาพที่น่าประทับใจในช่วงก่อนการลงสนามของทั้งคู่ระหว่าง แอสตัน วิลลา กับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และคู่ระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับอาร์เซนอล คือการที่นักฟุตบอลทั้ง 22 คนในสนามต่างพร้อมใจกันคุกเข่าก่อนจะเริ่มเขี่ยบอล

 

เรื่องนี้ ราฮีม สเตอร์ลิง สตาร์ทีม ‘เรือใบสีฟ้า’ ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวหอกที่ต่อสู้เรื่องของการเหยียดสีผิวมานานกล่าวด้วยความปลื้มใจว่า “มันแสดงให้เห็นว่าเรากำลังเดินไปในทิศทางเดียวกัน

 

“เราคงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปโดยธรรมชาติ เป็นของแท้ เราเคยได้เห็นทีมที่ทำ (คุกเข่า) ในช่วงก่อนจะเริ่มเขี่ยบอล และคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราควรจะทำเหมือนกัน”

 

 

  1. ความผิดพลาดครั้งแรกของ Hawk-Eye

เสน่ห์แบบไม่ตั้งใจของพรีเมียร์ลีกคือความดราม่าที่มาแบบตั้งใจบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง ซึ่งในการกลับมาพรีเมียร์ลีกครั้งแรกของโควิด-19 ก็มีเรื่องดราม่าเกิดขึ้นอีกครั้งและเป็นที่พูดถึงอย่างมาก

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมที่วิลลาพาร์กเป็นจังหวะฟรีคิกช่วงท้ายครึ่งแรกของทีมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เมื่อทางด้าน โอลิเวอร์ นอร์วูด เปิดบอลจากริมเส้นเข้าไปในกรอบเขตโทษ และผู้รักษาประตู ออร์ยาน ไนแลนด์ กระโดดรับบอลแล้วเสียหลัก ตัวล้ำเข้าไปในเส้นประตู

 

ประเด็นคือลูกนี้ผู้ตัดสินไม่ให้เป็นประตู เพราะไม่มีสัญญาณจาก Goal-line Technology รวมถึง VAR ก็ไม่ทำงานเช่นกัน ทั้งๆ ที่จากภาพช้าที่แฟนบอลได้เห็นกันทั้งโลกบอลนั้นเข้าเส้นประตูไปชนิดที่ คริส ไวล์เดอร์ ผู้จัดการทีม ‘ดาบคู่’ ถึงกับแขวะว่าแทบจะถอยเข้าไปรับบนอัฒจันทร์อยู่แล้ว

 

เรื่องนี้ทางด้าน Hawk-Eye ในฐานะเจ้าของเทคโนโลยีเองก็ไม่นิ่งนอนใจ มีการออกแถลงการณ์ชี้แจงทันที โดยยอมรับว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น ทำให้ไม่มีการส่งสัญญาณไปยังผู้ตัดสิน ขณะที่ภาพช้า 7 มุมที่ประตูก็ถูกบดบังโดยผู้รักษาประตู กองหลัง หรือเสาประตู

 

บริษัทเทคโนโลยีชื่อดังระบุว่านี่เป็นการผิดพลาดครั้งแรกจากจำนวนเกม 9,000 กว่านัดที่ระบบใช้งานมา ซึ่งก่อนเกมมีการทดสอบระบบแล้ว

 

ส่วนใครที่สงสัยว่าทำไม VAR ไม่ทำงาน คุณไม่ได้สงสัยคนเดียว ไวล์เดอร์เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะเขาเคยมีประสบการณ์ต้องยืนตากฝนรอการตัดสินจาก VAR ที่ใช้เวลานานถึง 10 นาที ก่อนจะบอกว่า ‘นิ้วเท้า’ ของผู้เล่นล้ำหน้า

 

เรื่องนี้ทางด้าน PGMOL ซึ่งกำกับดูแลการตัดสินของพรีเมียร์ลีก ระบุว่าไม่สามารถแทรกแซงการตัดสินได้ เนื่องจากเป็นสถานการณ์เฉพาะที่ผู้ตัดสินในสนามไม่ได้รับสัญญาณ (หรือพูดง่ายๆ ก็คือ Goal-line ไม่ทำงาน VAR จะไปแทรกแซงก็ไม่ได้)

 

เพื่อความถูกต้องโปร่งใสก็คงจะมีการสอบสวนเพิ่มเติม แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก… ฟุตบอลอังกฤษก็แบบนี้ล่ะนะ

 

  1. เสียงกองเชียร์จำลอง

สำหรับกองเชียร์ที่ติดตามอยู่ทางบ้านจะได้ยินเสียงบรรยากาศของการเชียร์เปิดคลอไป ทำให้ไม่ถึงกับเหงามากนัก

 

เสียงเชียร์นี้ ทางด้านพรีเมียร์ลีกได้รับความร่วมมือจาก EA Sports ผู้ผลิตเกมฟุตบอลชื่อดังในตระกูล FIFA ที่ถือว่าทำการบ้านมาค่อนข้างดี เพราะไม่ได้ดังจนเกินไป แล้วก็ไม่เงียบจนเกินไป และเสียงก็ถูกจูนให้เข้ากับจังหวะของเกมได้อย่างค่อนข้างดี

 

สำหรับคอบอลที่ไม่ชินกับการแข่งในสนามเงียบๆ ก็น่าจะถูกใจกันอยู่บ้าง แต่ถ้าใครชอบแบบเรียลๆ อันนี้ไม่แน่ใจว่าในประเทศไทยจะมีให้เลือกเหมือนในอังกฤษ (และบางประเทศ) หรือไม่ว่าจะเลือกแบบเสียงสดๆ จริงๆ ในสนามไหม

 

เพราะบางทีนี่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ยินได้ฟังสิ่งที่นักฟุตบอลคุยกันในสนาม… แม้ว่าถ้อยคำมันอาจจะไม่ได้น่าฟังนักก็ตาม

 

แต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าถ้าไม่มีเสียงเชียร์ของแฟนบอลหลายหมื่นคนกลบ นักฟุตบอลเขาพูดจากันแบบไหน

 

เป็นฟีเจอร์พิเศษที่จะมีเฉพาะช่วงโควิด-19 เท่านั้น!

 

 

  1. Fan Wall รู้หน้าไม่รู้ใจ?

ด้วยความที่ไม่มีแฟนฟุตบอลเข้ามาในสนามได้ หนึ่งในเรื่องที่มีการพูดถึงคือเรื่องของปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักฟุตบอลกับแฟนบอลที่จะขาดหายไป

 

แน่นอน แฟนบอลเองก็เหงา เพราะการได้ดูในสนามนั้นต้องบอกว่าแตกต่างจากการนั่งดูอยู่หน้าจอทีวีอย่างสิ้นเชิง ขณะที่นักฟุตบอลเองก็เฉา เพราะการลงเล่นกันเองโดยไม่มีกองเชียร์นั้นแทบไม่ต่างอะไรจากการซ้อมแข่งกัน

 

โชคดีที่โลกนี้มีคนฉลาดๆ อยู่มาก และนวัตกรรมลูกหนังใหม่อย่าง Fan Wall ก็ช่วยลดระยะห่างระหว่างหัวใจกันได้พอสมควร

 

Fan Wall คือจอภาพขนาดยักษ์ (ใหญ่ทีเดียว) ที่ใช้ระบบแพลตฟอร์มการประชุมออนไลน์ที่จะให้แฟนบอลเข้ามา Join Group กัน (ซึ่งคนที่จะได้ Join นั้นก็แล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละสโมสร เช่น เป็นผู้ถือตั๋วปี หรือร่วมสนุกกัน) จากนั้นแฟนบอลที่ได้รับการคัดเลือกก็จะได้มีโอกาสปรากฏบนจอให้นักฟุตบอลได้เห็นสีหน้า ท่าทาง อารมณ์ร่วมของพวกเขา 

 

ในวงเล็บว่าจะไม่มีเสียงของกองเชียร์ออกจากหน้าจอ มีแค่ภาพอย่างเดียว

 

ระบบนี้ได้ผลอย่างดีในเดนมาร์ก และพรีเมียร์ลีกก็นำมาสานต่อในแบบของตัวเอง ซึ่งจากภาพที่ได้เห็นในเกมระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับอาร์เซนอลแล้วก็ต้องบอกว่าภาพแฟนบอลบนจอนั้นน่ารักดี และช่วยให้รู้สึกดีขึ้นอีกนิดสำหรับฟุตบอลในยุคหลังโควิด-19

 

แม้มันจะเทียบอะไรกับแฟนบอลตัวจริงในสนามไม่ได้เลยก็ตาม

 

ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้จริงๆ

 

  1. คุณภาพของเกมที่…

สุดท้ายสิ่งที่คนในวงการกังวลกันค่อนข้างมากคือเรื่องของคุณภาพเกมการเล่นว่ากลับมารอบนี้ทุกทีมจะยังเล่นได้ใน ‘มาตรฐาน’ ของเกมพรีเมียร์ลีกที่เป็นลีกอันดับ 1 ของโลก (ในเรื่องของความนิยม) ไหม 

 

จาก 2 เกมที่ปรากฏ เราพอจะบอกได้ว่าเรื่องสภาพร่างกายของนักฟุตบอลนั้นน่าจะพอไปวัดไปวาได้ แต่ในเรื่องของพละกำลังและจังหวะการเล่นอาจจะไม่ใช่ 

 

เพราะในเกมฟุตบอล เรื่องของแรงและความอึดก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องพละกำลังในการเล่นต้องมาจากการลงสนามเท่านั้น (Match Fitness) รวมถึงจังหวะจะโคนในการเล่นที่ดูแล้วอาจจะยังไม่เหมือนปกติเสียทีเดียว ยกเว้นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยังดูยอดเยี่ยมอยู่

 

ปัญหาใหญ่คือที่ผ่านมาพรีเมียร์ลีกให้เวลาเตรียมทีมน้อยมาก ทำให้เป็นการยากที่จะเรียกสภาพความฟิตให้กลับมาสมบูรณ์พร้อม ทางด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอลา เองก็ยอมรับว่าทีมไม่ฟิตหรอก และถ้าไม่ฟิตแบบนี้แล้วมาใส่กันหนักๆ ประเดี๋ยวก็จะทยอยกันเจ็บ

 

อย่างไรก็ดี จากบทเรียนของบุนเดสลีกาที่เริ่มมาแบบหนืดๆ พอผ่านไปสนิมที่เกาะก็ค่อยๆ หลุดออก จึงพอจะหวังได้ว่าเดี๋ยวผ่านไปสัก 3-4 นัดทุกอย่างก็น่าจะเริ่มเข้าที่

 

และเราจะได้ดูฟุตบอลดีๆ ใกล้เคียงของเดิมกันอีกครั้ง 🙂

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

FYI
  • ก่อนเกมระหว่างแอสตัน วิลลา กับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ได้มีการนำเสื้อของ รอน สมิธ คุณพ่อของ ดีน สมิธ ผู้จัดการทีม ‘สิงห์ผงาด’ ที่เป็นแฟนบอลตัวยงที่ถือตั๋วปีและทำงานเป็นสจวร์ตดูแลความเรียบร้อยของสนามวิลลาพาร์กมาไว้ที่นั่งประจำของเขาด้วย หลังจากที่รอนได้เสียชีวิตไปไม่นานจากโรคโควิด-19 
  • ในการถ่ายทอดสดยังมีมุมกล้องใหม่ๆ ในอุโมงค์สนาม แต่ไม่ได้มีการให้สัมภาษณ์ในช่วงก่อนพักครึ่งตามที่พรีเมียร์ลีกเคยเสนอแต่อย่างใด
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X