นับจากวันที่ ‘แก้ม กัน โดม ตั้ม’ แชมป์จากเวที เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 4, 6, 8 และ 9 ขึ้นไปยืนอยู่บนเวที 4 โพดำ Concert in the Theatre ในปี 2556 ด้วยการโชว์มหกรรมเพลงแดนซ์ เพราะ ซึ้ง สนุก ด้วยเสียงที่ทรงพลังและเคมีเข้ากันที่ทั้งตลกและมีเสน่ห์ จนถึงวันนี้พวกเขาได้กลายเป็นศิลปินกลุ่มที่มีแฟนคลับรักและติดตามอย่างเหนียวแน่นทั้งรายการโทรทัศน์ คอนเสิร์ต 4 โพดำ ตอน Black Magic มนต์ดำปิ๊ดปี๋ เมื่อปีที่ผ่านมา รวมถึงคอนเสิร์ตล่าสุด 4 โพดำ Oh My God ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 26-27 มกราคม 2562
แต่กว่าจะยืนหยัดได้อย่างวันนี้ หากไม่นับคุณภาพของเสียงร้องที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ทุกคนล้วนเคยผ่านช่วงเวลาที่ถูกตัดสินผ่านรูปร่าง หน้าตา และสีผิว จนถึงขนาดรู้สึกว่าไม่อยากใช้ชื่อ ‘4 โพดำ’ ที่ทีมงานตั้งให้มาแล้ว
แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาเริ่มเปลี่ยนมุมมองใหม่ ก้าวข้ามคำจำกัดความเหล่านั้นด้วยตัวเอง ใช้ความสามารถและความรักในการร้องเพลงที่มีไม่แพ้ใครในการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าวงการบันเทิงคือพื้นที่ของทุกคน
จากคนที่เคยเจ็บปวดเมื่อถูกคนชี้หน้าเรียกว่า ‘ดำ’ วันนี้ทั้ง 4 คนยืนหยัดและเรียกตัวเองว่า ‘4 โพดำ’ ได้อย่างภาคภูมิใจ โดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะนิยามพวกเขาว่าอะไรก็ตาม
ถ้าคุณมีความสามารถ ตั้งใจ และซื่อสัตย์กับมันจริงๆ สุดท้ายไอ้คำจำกัดความทั้งหมดไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาวหรืออะไรก็ตามจะไม่มีทางทำอะไรคุณได้เลย
ยังจำความรู้สึกแรกที่รู้ว่าพวกคุณกำลังจะได้รวมตัวกันเป็นแก๊ง 4 โพดำได้อยู่ไหม
โดม: ตอนแรกเขายังไม่ได้บอกว่าเป็นแก๊งด้วยนะ มันเริ่มจากการที่เขาอยากหาคอนเสิร์ตมาลงในโรงละครตอนนั้นพอดี แล้วคิดว่า 4 คนนี้คงทำคอนเสิร์ตด้วยกันได้ จังหวะนั้นพอได้คำสั่งมาก็ไม่คิดอะไร ได้ครับพี่ ยินดีครับผม เราอยากทำอยู่แล้ว แต่แค่ยังนึกไม่ออกว่าเคมีเวลา 4 คนมารวมกันจะเป็นแบบไหน จะร้องเพลงอะไร ร้องแบบไหน จนวันที่เริ่มทำงาน เริ่มคุยกัน ก็มีการทลายกำแพงบางอย่างเกิดขึ้น เริ่มมองเห็นภาพว่าทิศทางน่าจะออกมายังไง
กัน: จำได้เลยว่าตอนแรกยังไม่มีชื่อนะ พวกเราก็คิดกันไปเป็น Fantastic Four, 4 คนร้องเพลง, 4 จตุรเทพ, หนักสุดคือ 4 ดาวอะไรก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ก็คิดไปในแนวทางของพวกเราที่คิดว่าเป็นชื่อดีๆ แล้วทีมงานก็เคาะชื่อมาให้ว่าเป็น 4 โพดำ ตอนนั้นยังคุยกันอยู่เลยว่าให้เขาเปลี่ยนชื่อได้ไหม ผมไม่โอเคกับชื่อนี้เลย
แก้ม: เออ ทุกคนคิดแบบนี้หมดเลย นี่พี่ด่าพวกเราเหรอ (หัวเราะ) แต่พอเขาให้เหตุผลมาบอกว่าเรื่องสีผิวนั่นก็เป็นกิมมิกหนึ่ง แต่จริงๆ ความหมายของมันคือโพดำเป็นไพ่ที่มีแต้มสูงสุดในสำรับ เขาอยากให้เราเป็นแบบนั้น เพราะเราคือที่ 1 ของ เดอะสตาร์ แต่ละปี
กัน: ณ โมเมนต์แรกที่ได้ทำทุกคนก็คิดว่าเป็นแค่อีเวนต์หนึ่ง ทำจบก็แยกกันไปเฉยๆ ไม่คิดว่าจะต่อยอดอะไรได้ ก็เลยฝืนๆ ที่จะใช้ชื่อนั้น แต่พอมาถึงตอนนี้ก็ต้องขอบคุณมากๆ ที่เขาคิดชื่อนี้มาให้
ช่วงที่ฝืนเป็นเพราะทุกคนยังรู้สึกไม่ดีที่ถูกจำกัดความด้วยคำว่า ‘ดำ’ มาก่อนหรือเปล่า
แก้ม: แน่นอน รู้สึกว่าเราโดนแซวเรื่องนี้ตลอดอยู่แล้ว ทำไมต้องย้ำ มันมีช่วงที่เรายังทะลุกำแพงของตัวเองกับคำนี้ไม่ได้ ได้ยินคำว่าดำแล้วมันจะจี๊ด (หัวเราะ) แต่ทุกวันนี้เหรอ ชิลเลย
โดม: เป็นความภูมิใจอีกอย่างด้วย มันเป็นบทพิสูจน์ว่าถ้าคุณมีความสามารถ ตั้งใจ และซื่อสัตย์กับมันจริงๆ สุดท้ายไอ้คำจำกัดความทั้งหมดไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาวหรืออะไรก็ตามจะไม่มีทางทำอะไรคุณได้เลย
แก้ม: ไม่มีใครทำร้ายเราได้ ถ้าเราไม่อนุญาตให้เขาทำ ถ้าเราภูมิใจในสิ่งที่เรามี ทุกอย่างก็โอเคแล้ว
กัน: ตอนหลังกลายเป็นเราไม่ได้คิดว่า 4 โพดำคือ 4 คนดำที่มารวมตัวกันอีกแล้ว แต่มันคือพวกเรา 4 คนที่มารวมตัวกันร้องเพลง มาทำรายการ มาเล่นตลก แล้วให้ทุกคนมาสนุกร่วมกับพวกเรา
ถ้าผมหน้าตาดีมาก รวยมาก ป่านนี้ผมอาจจะเป็นเด็กขี้เก๊กก็ได้ แต่ทุกวันนี้มันไม่ต้องกังวลอะไรเลย ไม่ต้องห่วงหล่อ เพราะมึงไม่หล่อตั้งแต่ต้น ไม่ต้องติดว่าทำตัวให้ดูรวยหน่อยเว้ย เพราะมึงไม่ได้รวยอยู่แล้วไง
ช่วงไหนที่รู้สึกว่าเราปลดล็อกตัวเองจากคำจำกัดความแบบนั้นได้แล้ว
ตั้ม: ไม่มีเหตุการณ์ไหนที่เกิดขึ้นปุ๊บแล้วปลดล็อกทันที แต่มันค่อยๆ ปลดล็อกเมื่อเราพิสูจน์ตัวเองผ่านผลงานมาเรื่อยๆ ตั้งแต่คอนเสิร์ตแรกที่มีการเพิ่มจาก 2 รอบเป็น 6 รอบ มีรายการ 4 โพดำ มีคนให้เราไปโชว์ที่ต่างประเทศ ทุกอย่างเหนือความคาดหมายของเราไปหมด จนพอรู้ตัวอีกทีเราก็ไม่ได้สนใจคำจำกัดความพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว
ก่อนที่จะปลดล็อกตัวเองได้ เคยมีช่วงที่ทั้ง 4 คนต้องมานั่งคุยกันไหมว่าทำไมเราต้องมาถูกล้อ ถูกแซวกับสิ่งที่เป็นตัวตนของเราด้วย
แก้ม: ไม่ได้ถึงขนาดต้องมานั่งปรับทุกข์กันว่าทำไมโลกถึงทำกับเราแบบนี้ แต่เพราะทั้ง 4 คนมีพื้นฐานและจุดเริ่มต้นที่คล้ายๆ กันหมด คือโดนล้อ โดนแซว ประกวดร้องเพลงหน้าเสาธง พื้นฐานครอบครัว มันเลยเหมือนเข้าใจกันโดยอัตโนมัติว่าแต่ละคนเจออะไรกันมาบ้าง และจะผ่านสิ่งเหล่านั้นไปได้ยังไง
โดม: คนรอบข้างมีส่วนจริงๆ นะครับ เวลาเจอเรื่องหนักมากๆ แล้วมานั่งคุยกัน คืออย่างที่พี่แก้มบอกว่าเราไม่ได้ปรับทุกข์แล้วโทษสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันคือการแชร์ว่าฉันเจออะไรมาบ้าง ได้ระบาย มีคนรับฟัง และให้กำลังใจเรา มันจะมีคำพูดทำนองว่า ต่อให้โลกไม่รักเรา แต่ถ้ามีใครสักคนที่รักและเข้าใจเราจริงๆ แค่นั้นก็พอแล้ว
กัน: มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมเคยใช้ชีวิตแบบต้องต่อสู้มาเรื่อยๆ อยู่กับความเหนื่อย เครียด กดดัน จนเริ่มคิดว่าเมื่อไรจะหยุดแข่งขัน เมื่อไรจะหยุดชิงดีชิงเด่นกับคนอื่น ต้องทำไปอีกเท่าไรถึงจะพอให้เราขึ้นมาอยู่ตรงนี้ได้ แต่พอวันที่ได้ทำ 4 โพดำที่เป็นเหมือนบ้านอีกหลังหนึ่งที่อยู่แล้วสบายใจ เพราะเราอยู่ได้โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะที่นี่ไม่มีคนอื่น มีแต่เพื่อนของเรา เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้ทำงานที่รักแล้วยังได้สนุกกับเพื่อนไปพร้อมๆ กันด้วย
ตั้ม: ทุกคนก็เคยมีแหละเนอะ ตอนเด็กๆ ที่เป็นนักร้องโรงเรียนแล้วมีคนบอกว่า หน้าอย่างมึงไม่มีทางได้หรอก แต่เราก็ยังเชื่อในความชอบการร้องเพลง ประกวดร้องเพลงต่อไป พอถึงวันหนึ่งที่เราทำได้ก็กลับมาคิดว่าจริงๆ ไอ้คำพูดพวกนั้นมันหวานมากเลยนะ ณ โมเมนต์นั้นเราอาจจะรู้สึกโมโห แต่อยู่ที่ว่าเราจะเอาคำพูดนั้นมาทำอะไร ถ้าเชื่อแล้วเอามากดตัวเองนี่จบเลย เออ กูแย่จริงด้วยว่ะ ไม่ไปดีกว่า ชีวิตก็ล่มจมตามที่เขาพูด แต่ถ้าไม่เชื่อก็สู้ต่อไปสิ
โดม: สิ่งที่มีพลังที่สุดในการตอกกลับคำเหล่านั้นคือพิสูจน์ให้เห็นว่าคำเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องจริง
กัน: ด้วยความที่พวกเรา 4 คนเหมือนกัน คือไม่ได้เกิดมามีพร้อมทุกอย่าง ไม่ได้ร้องเพลงดีที่สุด ไม่ได้หน้าตาดีที่สุด ไม่มีแต้มต่ออะไรทั้งนั้น มันยิ่งต้องพิสูจน์กับหลายๆ อย่างเพื่อลบสิ่งที่เราไม่มี ฉะนั้นก็ทำของเราไป คอยดูแล้วกัน
จากวันหนึ่งที่เราเคยสงสัยว่ามันผิดมากเลยเหรอที่เราร้องเพลง แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าการที่เราชอบร้องเพลงจะช่วยชีวิตหลายๆ คนให้มีความสุข ให้เขาลุกขึ้นมาสู้กับโรคร้ายหรือปัญหาหลายๆ อย่างได้
มีใครเคยหลงเชื่อคำปรามาสพวกนั้นแล้วคิดว่าตัวเองควรจะหยุดจริงๆ บ้างไหม
แก้ม: ไม่ถึงขนาดจะหยุด แต่ช่วงที่อยากมาประกวด เดอะสตาร์ ก็มีผู้ใหญ่หลายๆ คนบอกว่าเธอไม่ได้หรอก เขาเอาแต่คนสวยๆ ใช้คำพูดกดเรา ทั้งที่เราชอบร้องเพลงแค่นั้นเองนะ แต่โชคดีที่แก้มมีแม่เป็นกำลังใจสำคัญที่คอยสนับสนุนมาตลอด เหมือนที่โดมบอกว่าขอแค่คนเดียวที่เห็นความสำคัญของเราแค่นั้นพอ ยังไงเราก็จะไป เขาอาจจะอยากได้ยินเสียงเราบ้างก็ได้
แล้วแก้มก็มี พี่สน (สนธยา ชิตมณี) เดอะสตาร์ ปี 1 เป็นต้นแบบที่ทำให้รู้ว่าถ้าคุณร้องเพลงได้ คนก็จะรักเสียงคุณได้เหมือนกัน เราเข้าใจวัฏจักรนะว่าหน้าตาเป็นเรื่องสำคัญ แต่เสน่ห์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เสน่ห์หมายถึงความเป็นตัวเอง เอกลักษณ์ เสียงร้อง ทุกๆ อย่างที่เราแสดงออกมา ก็ลองไปดู ไม่ได้คิดว่าอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าใจที่อยากจะออกไปสู้ของเรา
โดม: จะมีช่วงที่รู้สึกว่า เอ๊ะ หรือฉันจะไม่เก่งจริงๆ วะ ไม่เอาแล้ว กลับไปตั้งใจเรียนหนังสือเงียบๆ ดีกว่า แต่คิดว่าเป็นเพราะตอนนั้นเรายังเด็กเกินไป ก็เลยคล้อยตามคำเหล่านั้น ถ้าเรามีสติ เชื่อตัวเองมากพอ สุดท้ายแล้วยังไงวะ การร้องเพลงคือสิ่งที่เรารัก แล้วทำไมเราจะไม่สู้เพื่อมันอีกสักหน่อยล่ะ
กัน: บางทีมันเหมือนบรรยากาศหลังชนฝาเนอะ ง่ายๆ คือตอนผมประกวด เดอะสตาร์ พอเข้ารอบ 8 คนแล้วรู้สึกว่าอยากกลับบ้านตั้งแต่สัปดาห์แรกแล้ว คนอื่นเขามีป้ายไฟกันหมด แต่เราไม่มีเลย ซึ่งตอนนั้นทางเลือกมันมีแค่สองทางคือยอมแพ้เลย หรือลองสู้กับมัน ทำให้เต็มที่ไปก่อน
โดม: เออ ใน 4 คนนี้ไม่มีใครมีป้ายไฟตั้งแต่สัปดาห์แรกเลยนะ (หัวเราะ)
ตั้ม: เชื่อไหม ตอนเดินสายโปรโมต 8 คนสุดท้าย ผมไม่มีคนมาถ่ายรูปด้วย จนพีอาร์ต้องไปบอกคนอื่นว่าช่วยไปขอถ่ายรูปกับมันหน่อย (หัวเราะ) ก่อนขึ้นเวทีก็กังวลมาก คิดว่าต้องออกจากบ้านเป็นคนแรก แล้วครูสอนแอ็กติ้งมาบอกว่า ถ้าจะต้องออกอยู่แล้ว จะออกให้คนด่าหรือจะออกให้คนจำ จะออกให้คนเขาคิดว่า เออ ทำได้แค่นี้มึงก็ออกไปเถอะ หรือจะให้เขาคิดว่า โห ไม่น่าให้มันออกไปเลย ได้ยินแล้วปลดล็อก ไฟลุกเลยนะ ไม่คิดแล้วว่าจะตกรอบหรือเปล่า แต่ออกไปสนุก ออกไปทำให้เต็มที่ไว้ก่อน
ต่อให้โลกไม่รักเรา แต่ถ้ามีใครสักคนที่รักและเข้าใจเราจริงๆ แค่นั้นก็พอแล้ว
เป็นไปได้ไหมว่าการไม่มีแต้มต่อที่ทุกคนพูดถึงคือส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกคุณต้องพยายามทำทุกอย่างมากถึงขนาดนี้
โดม: ผมขอบคุณชีวิตตัวเองนะ รู้สึกว่าเราโชคดีมากที่ไม่เคยถูกสปอยล์เลย
ทุกคน: เออ จริง
โดม: ไม่ได้บอกว่าคนที่เขามีทุกอย่างไม่ดีนะ แต่ชีวิตไม่ได้มีอะไรพร้อมสักอย่าง ขาดไปหมด แต่มันคือสิ่งที่ทำให้เราต้องไปต่อด้วยตัวเองจริงๆ
ตั้ม: สมมตินะ ถ้าผมหน้าตาดีมาก รวยมาก ป่านนี้ผมอาจจะเป็นเด็กขี้เก๊กก็ได้ แต่ทุกวันนี้มันไม่ต้องกังวลอะไรเลย ไม่ต้องห่วงหล่อ เพราะมึงไม่หล่อตั้งแต่ต้น ไม่ต้องติดว่าทำตัวให้ดูรวยหน่อยเว้ย เพราะมึงไม่ได้รวยอยู่แล้วไง (หัวเราะ) ที่มีทุกวันนี้ก็เยอะมากแล้วจากตอนเด็กๆ แล้วเราสร้างทุกอย่างขึ้นมาเอง พอมองกลับไป เฮ้ย เราก็เจ๋งเหมือนกันนะ แล้วทำให้มีแรงผลักดันให้เราทำทุกอย่างต่อไป
ถ้ามองตอนนี้ ตัวผมเองก็ไม่ได้ร้องเพลงดีที่สุด ไม่ได้เต้นเก่งที่สุด ไม่ได้หน้าตาดีที่สุดในบรรดานักร้องทุกคน แต่คิดว่าสิ่งที่ผมมีไม่แพ้ใครคือผมสนุก ผมมีความสุขบนเวทีไม่แพ้ใครแน่ๆ
คนอื่นๆ ล่ะ มีเรื่องไหนบ้างที่คิดว่าพวกคุณไม่แพ้นักร้องคนไหนในโลกใบนี้แน่ๆ
โดม: ความสู้ครับ ความสู้ที่ผลักดันให้ผมกล้าทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้ ทำให้เราหลุดออกจากคอมฟอร์ตโซนไปทำอะไรใหม่ๆ และเกิดเป็นประสบการณ์ในชีวิต ผมสู้มาในฐานะคนหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าวงการนี้ไม่ได้เป็นที่ของใครแบบใดแบบหนึ่ง แต่เป็นที่ของทุกคน ไม่ว่าใครก็สามารถอยู่ในวงการนี้ได้ ถ้าคุณมีความสุขกับสิ่งที่ทำและส่งมอบความสุขนั้นให้กับคนอื่นต่อไปได้
เคยมีคนคอมเมนต์ว่าทำไมผมไม่ไปทำหน้า เคยแอบคิดเหมือนกันนะว่าอยากบินไปเกาหลีแล้วกลับมาพร้อมหน้าใหม่ เป็นคนใหม่ แต่แล้วยังไงล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วมันจะยังเป็นเราอยู่หรือเปล่าวะ แล้วคนที่เขาเคยรักที่ผมเป็นแบบนี้เขาจะรู้สึกยังไง ก็เลยเลือกที่จะซื่อตรง เชื่อมั่นกับสิ่งที่เป็นเรามากที่สุด แล้วพิสูจน์ให้เห็นว่าวงการนี้เป็นที่ของทุกคนจริงๆ
แก้ม: แก้มไม่หยุดพัฒนา คล้ายๆ โดมนะ คือเราสู้ไม่หยุดจริงๆ วันไหนที่หยุดเหมือนเราย่ำอยู่กับที่ แล้วมันมีองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งการร้อง สุขภาพ การดูแลตัวเอง ซึ่งเราก็สู้จนข้ามขีดจำกัดของตัวเองมาได้หลายอย่าง อย่างเรื่องการกิน แก้มเป็นคนชอบกินมาก แม่ทำอาหารอร่อยให้กินมาตลอด อยากกินอะไรก็กิน แต่พอวันหนึ่งต้องคิดเรื่องการดูแลตัวเอง เราก็ต้องสู้กับนิสัยส่วนตัวมากเหมือนกันเพื่อพัฒนาตัวเองในทุกๆ ด้านให้ได้
กัน: ทุกคนตอบไปหมดแล้ว (หัวเราะ) ทั้งการต่อสู้ การพัฒนา และความสุข ผมมักจะพูดหรือเขียนในแคปชันเวลาลงรูปร้องเพลงบนเวทีว่านี่คือที่ที่ผมมีความสุขที่สุด เวลามีความสุขเราก็ไม่ต้องกลัวใคร ไม่ต้องกลัวว่าเราไม่มั่นใจหรือตัวไม่ใหญ่เท่าใคร แต่แค่ได้ยืนอยู่บนเวทีก็พอแล้ว
ทุกเพลงที่ร้องมันคือเพลงที่ผมอยากร้องจริงๆ อยากให้ทุกคนได้ฟังเสียงที่ผมร้องออกมาจากใจ ไม่ใช่แค่เป็นเสียงที่ใช้สมองคิดว่าจะร้องโน้ตนี้ยังไงให้มันเพราะ แต่ทุกโน้ตของผมใช้หัวใจคิดด้วยว่าผมอยากให้ทุกคนรับรู้ความรู้สึกแบบเดียวกับที่ผมอยากสื่อสารออกไปจริงๆ
ความรู้สึกของคนที่ไม่มีแต้มต่อแล้วพยายามทำหลายๆ อย่าง มาถึงวันนี้เคยรู้สึกบ้างไหมว่าเราอาจจะไม่ต้องต่อสู้ ไม่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อพัฒนาหรือพิสูจน์ตัวเองอีกต่อไปแล้ว
โดม: ผมว่าวงการนี้แปลก ถ้าเป็นอาชีพอื่น ทำงานไปเรื่อยๆ ก็จะมีเลื่อนขั้น ยิ่งเลื่อนขั้นก็ยิ่งสบาย แต่วงการนี้ผมว่ายิ่งทำมากเท่าไร เรายิ่งต้องทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเองมากขึ้น ถ้าหยุดเมื่อไรคือจบเลย สังเกตได้จากพี่เบิร์ดที่ทำร้อยแปดพันอย่างตั้งแต่ร็อก ลูกทุ่ง ฮิปฮอป ฯลฯ นั่นคือคนที่ไม่เคยหยุดจริงๆ ผมว่าศิลปินทุกคนที่ยังอยู่ในวงการบันเทิงได้ก็เพราะเขาไม่เคยหยุด เราอยากยึดมั่นแบบนั้นแล้วเดินตามเขาเหล่านั้นไป
กัน: อีกสิ่งที่ทำให้ไม่เคยคิดว่าจะหยุดคือเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เราทำเพื่อครอบครัว เพื่อคนข้างหลัง เพื่อชีวิตของคนที่เอาเราเป็นแบบอย่าง นี่คือพลังที่เติมเต็มผมมากๆ ทุกวันที่มีน้องๆ ใส่ชุดครุยมาบอกว่า พี่กัน หนูเรียนจบเพราะพี่เลยนะ พี่เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของหนูนะ มันเป็นเชื้อเพลิงให้คิดว่า เฮ้ย กูจะหยุดทำทุกอย่างเพราะว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือเพราะเหนื่อยอย่างเดียวไม่ได้
มีน้องคนหนึ่งเป็นมะเร็ง เริ่มปวดไปทั้งตัวแล้ว แล้วเขาอยากได้กำลังใจ อยากฟังเสียงของเรา เราก็ไปร้องเพลงให้เขาฟังที่โรงพยาบาล เราเห็นแววตาที่มีความสุขของเขา เฮ้ย ยังมีคนอยากได้ยินเสียงของเราในวินาทีที่เขาอ่อนแอที่สุด มันยิ่งหยุดไม่ได้จริงๆ
แก้ม: ของแก้มมีน้องที่ป่วยเหมือนกัน แต่เขามาดูคอนเสิร์ตแล้วพูดว่า ไม่รู้พรุ่งนี้เขาจะได้มาดูเราอีกไหม แต่แค่วันนี้ได้มาดูเราเขาก็มีความสุขมากแล้ว มันเหมือนว่าสิ่งที่เราพยายามทำมาทั้งหมด ชื่อเสียงที่ได้รับกลายเป็นเป็นพลังหรือสิทธิพิเศษบางอย่าง เราทำสิ่งที่คนอื่นอาจจะคิดว่าเป็นแค่การร้องเพลง แต่พอเป็นเสียงของเราแล้วมันกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับบางคนได้
แล้วก็ไม่เคยคิดเนอะ จากวันหนึ่งที่เราเคยสงสัยว่ามันผิดมากเลยเหรอที่เราร้องเพลง แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าการที่เราชอบร้องเพลงจะช่วยชีวิตหลายๆ คนให้มีความสุข ให้เขาลุกขึ้นมาสู้กับโรคร้ายหรือปัญหาหลายๆ อย่างได้
ตั้ม: ของผมหายจากมะเร็งมาแล้ว 2 คน คนแรกเป็นคุณครูของผม เขาบอกว่ากำลังจะไปผ่าตัดหน้าอกข้างหนึ่ง ช่วยร้องเพลงแล้วอัดคลิปกลับมาให้ครูดูหน่อย เราก็ลุ้นว่าผลจะเป็นยังไง จะลามหรือเปล่า แล้วเขาบอกว่าฉันสู้ ฉันจะอยู่รอดูให้เธอไปได้ไกลที่สุดในวงการนี้ อีกคนเป็นแฟนคลับ ต้องทำคีโม ผมร่วงแล้ว แต่ยังใส่วิกผมมาหาตอนถ่ายรายการ 4 โพดำ เราก็กอดเขา บอกว่าไม่ต้องมา เดี๋ยวเราจะไปเยี่ยม รักษาตัวเองให้หายนะ ทุกวันนี้ โอ้โห หายดี สวยกันทั้งคู่เลยจ้ะ (หัวเราะ)
ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำไปมีผลกับการรักษาของเขาจริงหรือเปล่า แต่การเป็นกำลังใจให้ในวันที่เขากำลังอ่อนแอ อย่างน้อยให้เขายิ้มได้ ให้เขามีความสุข มันก็ดีมากแล้วจริงๆ
รู้สึกอย่างไรบ้างกับ 4 โพดำ Oh My God Concert ที่กำลังจะเกิดขึ้น จากคนที่รู้สึกฝืนๆ ในตอนแรกที่จะใช้ชื่อนี้ แต่ตอนนี้พวกคุณกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่ 3 ในชีวิต
กัน: มันมีหลายความรู้สึกนะที่เกินความฝันของเรา ตั้งแต่คอนเสิร์ตในครั้งแรก พอวันนี้อยู่ด้วยกันมา 6 ปี ผ่านเรื่องราวหลายอย่างด้วยกันมาเยอะ มีเพลง มีรายการเป็นของตัวเอง มีแฟนคลับ มีคนติดตาม ทุกอย่างมันทำให้เรามีความสุขและภูมิใจมาตลอด
แต่อย่างสองคอนเสิร์ตที่ผ่านมามันคือการที่เราจัดกับค่ายของเราเอง แต่อันนี้มี Atime Showbiz ที่มองเห็นและอยากทำงานร่วมกับพวกเรา ซึ่งเป็นทีมที่เราเห็นผลงาน เห็นโปรดักชันของเขามาตลอดว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ต้องขอบคุณมากๆ และมันคงจะเกิดโชว์หลายๆ อย่างที่บางครั้งเราอยากให้ภาพนี้เกิดขึ้นในคอนเสิร์ตที่ผ่านมา แต่ยังไม่เคยเห็นภาพนั้น ก็น่าจะเกิดขึ้นในครั้งนี้
ตั้ม: ด้วยประสบการณ์ทำให้เรารู้สึกว่าบางอย่างเราอาจไม่พร้อม แต่ด้วยความเล่นใหญ่ของ Atime Showbiz ที่เขากล้าที่จะเชื่อในตัวเรา
โดม: เราเชื่อว่าเขาจะทำภาพในหัวของเราให้เกิดขึ้นจริงๆ และเขาก็เชื่อว่าถ้าลงทุนไปแล้วเราจะทำในสิ่งนั้นได้ สุดท้ายคือความเชื่อใจซึ่งกันและกัน
มีภาพอะไรบ้างที่เราจะได้เห็นแน่ๆ ในคอนเสิร์ตครั้งนี้
ตั้ม: ถ้าภาพที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น อยากให้รอไปดูในคอนเสิร์ตจริงๆ ดีกว่า แต่ภาพที่เรามั่นใจว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ คือความสุข เพราะ 4 โพดำคือวาไรตี้ ทุกคนจะได้ฟังเพลงที่เพราะ ได้หัวเราะ ได้สนุกด้วยกัน
แก้ม: เราเชื่อว่ามันจะเป็นไปด้วยความสุขจริงๆ ตั้งแต่พวกเรามองหน้ากันเองก็มีความสุข มองลงไปที่คนดูก็มีความสุข เอาความสุขทั้งสองก้อนมามอบให้กันและกัน ในความรู้สึกของเราแค่นั้นก็พอแล้ว
โดม: คนที่มาดูอาจจะไม่ใช่แฟนคลับของพวกเราก็ได้นะครับ ไม่ต้องคิดว่าเราคือ 4 โพดำ แต่อยากให้คิดว่าเป็นศิลปิน 4 คนที่ตั้งใจมาทำโชว์ให้คุณมีความสุขที่สุด ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร และไม่ต้องรู้ว่าคุณเป็นใครมาจากไหน แต่ขอให้มั่นใจว่าคุณจะมีความสุขอย่างเต็มที่ เพราะเราตั้งใจมากจริงๆ
และทุกๆ งานของเราก็ไม่คิดว่าจะต้องทำงานบนพื้นฐานที่ว่าต้องทำให้เฉพาะแฟนคลับของ 4 โพดำ แต่เราอยากทำให้ใครก็ได้ที่เข้ามาชมมีความสุขที่สุดจากเพลงที่ร้อง จากโชว์ และจากทุกๆ สิ่งที่เราทำ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- 4 โพดำ Oh My God Concert จัดแสดงที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ในวันที่ 26-27 มกราคม 2562 บัตรราคา 1,500-5,000 บาท ซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา หรือ www.thaiticketmajor.com